สังคม

เปิดข้อพิพาทที่ดิน 'เกาะหลีเป๊ะ' หลังมีภาพล้อมรั้วรีสอร์ตแห่งหนึ่ง คู่กรณียันดำเนินการตามกฎหมาย

โดย panisa_p

10 ม.ค. 2566

632 views

จากกรณีมีเอกชนรายหนึ่งร้องเรียนว่าถูกลุ่มชายฉกรรจ์ไปล้อมรั้วปิดรีสอร์ตในเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล เมื่อช่วงก่อนปีใหม่ที่ผ่านมา ซึ่งข่าว 3 มิติ ได้ลงพื้นที่ จนพบว่าเป็นหนึ่งในกรณีพิพาทปัญหาที่ดินในเกาะหลีเป๊ะ โดยเอกชนคู่กรณี ยืนยันว่า เข้าไปดำเนินการตามกฎหมายที่มีคำสั่งศาลถูกต้อง ไม่ได้ใช้ความรุนแรงอย่างที่กล่าวหา และมีสิทธิเข้าไปในพื้นที่ตามคำสั่งบังคับคดี



รีสอร์ตที่เกิดเหตุพิพาทบนเกาะหลีเป๊ะ เปิดทำการตามปกติแล้ว หลังมีการเผยแพร่ภาพเหตุการณ์ระบุว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์ กว่า 20 คนนำรั้วลวดหลามมาปิดกั้นทางเข้ารีสอร์ตและร้านค้า เมื่อวันที่ 28-30 ธันวาคม 2565 โดยเจ้าของระบุว่า ได้รับบาดเจ็บ มีบาดแผลถูกเย็บ 21 เข็มจากการเข้าขัดขวางดึงรั้วลวดหนาม เพื่อนำรััวออก เพราะยืนยันว่า นายสามารถ เจริญฤทธิ์ ที่เป็นพ่อ ได้เข้าประกอบการถูกต้อง โดยมีเอกสารได้รับอนุญาตจากอุทยานแห่งชาติตะรุเตา เมื่อปี 2558



ข่าว 3 มิติตรวจสอบทราบว่าคู่กรณีที่มาแสดงตัวเป็นเจ้าของที่ดินบริเวณนี้ คือนายมานิตย์ กวีรัตน์ ซึ่งชี้แจงว่า มีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะเข้าไปถือครองที่ดินแปลงนี้ตามคำสั่งศาลฎีกาและกรมบังคับคดี เนื่องจากที่ดินแปลงนี้ได้มาจากการขายทอดตลาด ตามคำสั่งศาลจังหวัดสตูล และนายมานิตย์เป็นผู้ประมูลมาในราคากว่า 75 ล้านบาท



โดยมีการแบ่งเงินให้นายสามารถ เจริญฤทธิ์ ครึ่งหนึ่ง แต่หักเงินกู้เดิมที่นายสามารถเคยกู้เงินนายมานิตย์มาซื้อที่ดินแปลงนี้ด้วยกัน เป็นเงินกว่า 4 ล้านบาท ซึ่งมีหลักฐานเช็คจ่ายเงินกว่า 28 ล้านบาทให้นายสามารถไปแล้ว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน นายมานิตย์ ไม่สามารถเข้าทำกิจการได้ จึงต้องขอให้ทนายเข้าไปดำเนินการล้อมรั้ว ซึ่งกลุ่มชายที่เข้าไปดำเนินการ นายมานิตย์ ยืนยันว่า ไม่ใช่ชายฉกรรจ์ แต่เป็นพนักงานบริษัท รปภ.ที่ว่าจ้างถูกต้อง และมีการแสดงคำสั่งศาลถูกต้อง ไม่ได้เข้าใช้ความรุนแรงอย่างที่ถูกกล่าวหา



นายมานิตย์ เปิดเผยด้วยว่าหลังเหตุการณ์ไปล้อมรั้ว ตนเองก็ถูกทำร้ายร่างกายด้วย และได้แจ้งความไว้ที่ สภ.เกาะหลีเป๊ะแล้ว แต่ตำรวจไม่สามารถจับคนร้ายได้ทั้ง ๆ ที่มีหลักฐาน รวมถึงกรณีเข้าไปล้อมรั้วรีสอร์ตก็เป็นการใช้สิทธิถูกต้องตามกฎหมาย แต่ปัญหาบานปลาย เพราะตำรวจไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกลางด้วย ซึ่งตนเองก็จำเป็นต้องดำเนินคดีกับผู้ที่ยังอยู่ในรีสอร์ตในข้อหาบุกรุก ทั้งนายสามารถและผู้เกี่ยวข้อง ประมาณ 7-8 คนแล้ว และขอให้เนินการตามคำสั่งศาล โดยในวันที่ 11 มกราคม ศาลได้นัดจำเลยมารายงานตัว ก็หวังว่านายสามารถจะมาตามนัดหมาย



ขณะที่ครอบครัวของนายสามารถร้องขอความเป็นธรรม ขอให้ผู้ใหญ่มาช่วยแก้ปัญหา เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุแบบนี้อีก ทั้งในส่วนครอบครัวก็หวาดกลัวความไม่ปลอดภัย



ข่าว 3 มิติตรวจสอบคำสั่งศาลจังหวัดสตูล เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 นายมานิตย์ ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสามารถ หลังจากเข้าไปประกอบการสร้างรีสอร์ตร้านอาหาร ในที่ดินที่ซื้อร่วมกัน จาก ส.ค.1 เลขที่ 25 และ 32 โดยนายมานิตย์ ให้นายสามารถกู้เงิน 2 ล้านบาทไปซื้อที่ดิน จึงมีสิทธิครอบครองคนละครึ่ง ขณะที่นายสามารถฟ้องแย้งว่าได้ซื้อทีดินเพียงคนเดียว ได้คืนเงินกู้ไปแล้ว และมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเพียงผู้เดียว แต่ศาลยกฟ้อง และให้นายสามารถแบ่งที่ดิน เนื้อที่ 7 ไร่ จำนวนครึ่งหนึ่งให้นายมานิตย์ ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้ขายทอดตลาด แล้วนำเงินมาแบ่งกัน



ซึ่งนายมานิตย์ เป็นผู้ซื้อมาได้แบ่งเงินให้นายสามารถแล้ว และคำพิพากษาศาลจังหวัดสตูลเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 ที่มีการฟ้องร้อง เพราะนายสามารถไม่ยินยอมย้ายออกจากพื้นที่พิพาท ศาลมีคำวินิจฉัยยืนยันว่าคดีถึงที่สุดแล้ว ให้ดำเนินการบังคับคดี หากถูกขัดขวางก็สามารถออกหมายจับจับกุมได้ โดยนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ได้ตรวจสอบแล้วเป็นกรณีพิพาทระหว่างเอกชนที่ขอให้ดำเนินการตามกฎหมาย ขณะที่นายสามารถและครอบครัว ยืนยันที่จะขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบปัญหาที่ดินที่เชื่อว่าประกอบการได้ตามคำสั่งอุทยานแห่งชาติตะรุเตา

คุณอาจสนใจ

Related News