สังคม
เปิดวินาทีสยบ 'เฮียตุ้ง' คลั่งยิงรัวสังเวย 'รองหรั่ง' ครอบครัวร่ำไห้รอรับศพ พี่สาวภูมิใจน้องทำหน้าที่เต็มภาคภูมิ
โดย paweena_c
22 ก.ค. 2567
132 views
กรณีรองผู้กำกับการป้องกันและปราบปราม สน.ท่าข้าม โดนเฮียตุ้งยิงเสียชีวิตที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ขณะพยายามเข้าช่วยเหลือลูกสาวเฮียตุ้ง ที่โดนจับเป็นตัวประกันอยู่ภายในบ้าน วันนี้ครอบครัวรองผู้กำกับได้ติดต่อเข้ารับศพแล้ว ตำรวจ 10 โรงพักตั้งขบวนสมเกียรติ
เหตุการณ์สะเทือนใจครั้งนี้ต้องย้อนกลับไปช่วงค่ำวันที่ 20 กรกฎาคม พันตำรวจโท กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รองผู้กำกับการป้องกันและปราบปราม สน.ท่าข้าม หรือ รองหรั่ง ได้รับแจ้งเหตุว่ามีชายคลุ้มคลั่งใช้ปืนจี้จับตัวคนในบ้านเป็นตัวประกัน อยู่ที่บ้านหลังหนึ่งเป็นอาคารพาณิชย์สูง 3 ชั้น ภายในหมู่บ้านดีเค ซอย 2 ถนนพระรามสอง แขวงและเขตบางบอน กรุงเทพ
ทันทีที่ตำรวจมาถึงทราบว่า ผู้ก่อเหตุ คือ นายบุญมา หรือ เฮียตุ้ง อายุ 49 ปี ได้เรียกลูก 3 คนมาช่วยทำความสะอาดบ้านในตอนประมาณ 6 โมงเย็น ของวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่พอลูกสาวมาถึงกลับจับตัวลูกสาว 1 คน เป็นตัวประกัน แล้วบอกให้ติดต่อภรรยาให้เข้ามาหา ซึ่งลูกๆ พยายามเจรจาแล้วแต่ไม่เป็นผล จึงแจ้งตำรวจ สน.ท่าข้าม ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฮียตุ้งใช้ความรุนแรงในครอบครัว เพราะเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เคยทำร้ายภรรยาและลูกสาวบ่อยครั้ง จนทุกคนต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เหลือเฮียตุ้งอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว
กระทั่ง 3 ทุ่ม รองหรั่ง เข้ามาเจรจา ผู้ก่อเหตุก็พูดคุยอยู่ตรงบริเวณประตูทางออกของบ้าน จังหวะที่คิดว่าสถานการณ์คลี่คลายแล้ว รองหรั่ง ถอดเสี้อเกราะออก
จากนั้นราว 3 ทุ่ม 45 นาที รองหรั่งตัดสินใจเข้าชาร์ต แต่กลับโดนยิงสวนเข้าที่หน้าอกทันที ซึ่งตอนนั้นมีลูกสาวของเฮียตุ้งกำลังยืนอยู่หน้าบ้านด้วย ทำให้ตำรวจที่วิ่งตามมาต่างวิ่งหลบหนีตาย ขณะที่มีตำรวจนายหนึ่งในโล่บังเพื่อเข้าไปตรวจสอบว่า รองหรั่ง เป็นอย่างไร แต่ถูกเฮียตุ้งยิงสวนออกมาอีก 2 นัด จนต้องข้ามไปอีกฝั่ง
3 ทุ่ม 48 นาที ลูกน้องพยายามเจรจากับเฮียตุ้ง ตะโกนบอกว่า "อย่ายิงครับ จะพาท่านรองไปหาหมอ" ตะโกนบอกให้เฮียตุ้งขึ้นบ้านไป ซึ่งระหว่างเจรจาต้องใช้โล่บังตลอด ไปดูบรรยากาศช่วงนี้
การเจรจาใช้เวลาเกือบ 3 นาที ก่อนที่พันตำรวจโท มงคล สังข์เพิ่ม สารวัตรป้องกันและปราบปราม สน.ท่าข้าม จะค่อยๆ ลากขาของรองหรั่งออกมาจากหน้าบ้าน เพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาล
แล้วมีเสียงปืนดังขึ้นอีก 1 นัด ตอน 3 ทุ่ม 55 นาที ซึ่งขณะนั้นตำรวจ สน.ท่าข้าม ได้ถอนกำลังออกมาแล้ว เพื่อเปิดทางให้ชุดอรินทราชเข้ามาควบคุมสถานการณ์ต่อทันที
ราวเที่ยงคืน 20 นาที ก็มีเสียงปืนดังขึ้นอีก 1 นัด ราว 10 นาทีต่อมา ก็มีเสียงปืนรัวยิงชุดใหญ่อีก 5 นัด ก่อนจะเงียบไปสักพัก แล้วเสียงปืนอีก 1 นัดก็ดังขึ้น
จากนั้นตำรวจอรินทราชก็เข้าควบคุมสถานการณืต่อด้วยการเจรจาผ่านเครื่องขยายเสียง บอกให้เฮียตุ้งใจเย็น และยอมวางอาวุธ แต่เฮียตุ้งกลับยิงปืนสวนออกมา 2 นัด ให้ลูกสาว แลภรรยามาช่วยเจรจาด้วย แต่ก็ยังไม่เป็นผล
การเจรจาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ตำรวจอรินทราชตัดสินใจใช้โดรนบินสำรวจ แล้วเฮียตุ้งยิงปืนออกมาอีก 1 นัด
01.44 น. ตำรวจอรินทราชเข้าปฏิบัติการที่บ้านหลังข้างๆ จนถึงเวลา 02.07 น. ตำรวจก็ยังคงใช้ยุทธวิธีด้วยการเจรจาให้ผู้ก่อเหตุมอบตัว โดยใช้คำพูดว่า "หากมีปัญหาเราก็ต้องช่วยกันแก้ไข" ซึ่งระหว่างนั้นมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด แล้วเสียงในบ้านก็เงียบไป
ตำรวจได้ส่งหุ่นยนต์ไปตรวจสอบที่หน้าบ้าน 2 ครั้ง คือ ตอน ตี 3 และช่วงเกือบตี 5 และให้หุ่นยนต์ไปสำรวจในบ้าน แต่ก็ไม่มีเสียงปืน หรือเสียงดังมาจากในบ้านอีก
ทำให้ตำรวจมั่นใจแล้วว่า เสียงปืนนัดสุดท้ายที่ดังขึ้นตอนตี 2 กว่า เฮียตุ้งอาจจะจบชีวิตตัวเองแล้ว จากนั้นพอฟ้าสางเกือบ 6 โมงเช้า ตำรวจก็เข้าเคลียร์พื้นที่ภายในบ้าน จนพบร่างของเฮียตุ้งนอนเสียชีวิตอยู่ที่ชั้นลอย ในสภาพนั่งห้อยขาที่เตียงนอน มีรอยกระสุนถูกยิงเข้าที่ขมับขวา
ก่อนจะนำร่างออกมาตอน 9 โมงครึ่ง เพื่อนำส่งชันสูตรที่โรงพยาบาลศิริราช มีรายงานว่าในการก่อเหตุครั้งนี้เฮียตุ้งยิงปืนออกมาจำนวน 94 นัดด้วยกัน
ขณะที่ช่วงเช้าวันนี้ทีมข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านที่เกิดเหตุอีกครั้ง พบว่าปิดประตูล็อกกลอนคล้องกุญแจจากด้านนอก ไม่มีใครอยู่บ้าน เปิดเพียงไฟด้านหน้าอาคารไว้เพียง 1 ดวง ซึ่งหน้าบ้านยังมีคราบเลือดของรองหรั่งอยู่เหมือนเดิม รวมถึงรถยนต์ของเฮียตุ้งที่จอดไว้ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ที่มีโพลิสไลน์กั้นไม่ให้บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปด้านใน ขณะที่เพื่อนบ้านโดยรอบก็ใช้ชีวิตปกติไม่มีใครมายืนมองหรือคุยกันเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เหตุการณ์นี้ตำรวจใช้เวลาทั้งหมด 11 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ 18.00 น. ของเย็นวันเสาร์ จนถึงตี 5.50 น. ของเช้าวันอาทิตย์ การเจรจาคืนนั้นมีทั้งหมด 13 ครั้งด้วยกัน เหตุการณ์ครั้งนี้เราสูญเสียรองหรั่ง และมีดาบตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บด้วย
ส่วนบรรยากาศที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งได้มีการนำร่างพันตำรวจโทกิตติ์ชนม์ หรือรองหรั่ง มาทำการชันสูตร โดยวันนี้ทางครอบครัวได้เดินทางมารับร่างรองหรั่ง เพื่อไปทำพิธีทางศาสนา
โดยพบว่ามีพี่สาวของรองหรั่งคือพันตำรวจโทหญิงจิราวรรณ ธัญญะเจริญ ภรรยาของรองหรั่ง คือพันตำรวจโทหญิง ชนม์ณกานต์ จันยะรมณ์ รองผู้กำกับการกองอัตรากำลังสำนักงานกำลังพล และลูกชายของรองหรั่งคือ ร้อยตำรวจโทวันรัฐธ์ จันยะรมณ์ รอง สารวัตรสอบสวน สภ.สำโรงใต้ มารอรับร่างของผู้เป็นพ่อ โดยที่ร้อยตำรวจโทวันรัฐธ์ เป็นคนถือรูปของรองหรั่ง
นอกจากนี้ยังมีผู้บังคับบัญชา และเพื่อนตำรวจ มารอรับร่างรองหรั่งด้วยความอาลัย ซึ่งระหว่างรอรับร่างของรองหรั่ง พี่สาวของรองหรั่งได้สวมกอดภรรยาและลูกของรองหรั่งพร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความเสียใจ
ทั้งนี้ตำรวจสังกัด บก.น.9 จำนวน 10 สน. ได้ตั้งตั้งขบวนบริเวณด้านหน้าหน่วยนิติพญาธิ โรงพยาบาลศิริราช โดยมีพลตำรวจตรีประสงค์ อานมณี ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 9 เป็นผู้นำขบวน เพื่อนำร่างไปประกอบพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ณ วัดยางสุทธาราม ในช่วงเย็นวันนี้
พันตำรวจโทหญิงจิราวรรณ เปิดเผยว่าน้องชายเป็นคนดีมากๆ ภูมิใจในตัวน้องมากๆ น้องชายรักงานและครอบครัวมาก ทุกวันจะต้องเปิดวิทยุสื่อสารเพื่อฟังเหตุ แม้ขนาดเฝ้าแม่ที่ป่วยก็ยังฟังวิทยุสื่อสารตลอด น้องเคยทำงานมาหลายพื้นที่ทั้งใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ภาคอีสาน และทำทุกตำแหน่งโดยไม่เกี่ยงงาน
ที่ผ่านมาพ่อของเราปลูกฝังให้ทุกคนในครอบครัวเป็นตำรวจ เพราะเรามาจากครอบครัวคนจน หากได้เป็นตำรวจ จะได้ไม่ถูกใครรังแก ทำให้อาชีพตำรวจเป็นสายเลือดของครอบครัวเรา อยากบอกน้องว่าน้องทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้อย่างเต็มภาคภูมิแล้ว ถึงจะไปเกิดชาติภพไหน น้องก็จะไม่อายใครในอาชีพที่น้องผ่านมา
ส่วนที่ลูกสาวของเฮียตุ้ง จะมาร่วมงานศพในวันนี้คงไม่มีใครว่าที่จะมาร่วมงาน เพราะไม่มีใครผิดใครถูก เรื่องแบบนี้ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น คงไม่มีความโกรธแค้นอะไร เพราะสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย
สำหรับกำหนดการพิธีศพของรองหรั่ง จะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพในวันนี้ตอน 5 โมงเย็น จากนั้นก็จะมีการสวดพระอภิธรรม จนถึงวันที่ 27 กรกฎาคม และมีพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม
ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดูแลสิทธิประโยชน์เบื้องต้นให้กับครอบครัวของรองหรั่งเป็นเงินประมาณ 4,500,000 บาท พร้อมปูนบำเหน็จความดีความชอบตอบแทนเป็นกรณีพิเศษ โดยขอเลื่อนเงินเดือนให้ 6 ขั้น ขอพระราชทานยศเป็นพลตำรวจเอก