สังคม

เข่าทรุด! ลูกสะใภ้แสบ หลอกเอาบ้านแม่ผัวไปจำนอง ไม่ส่งเงินจนถูกยึด ไร้ที่ซุกหัวนอน

โดย panisa_p

1 ธ.ค. 2565

716 views

วันที่ 1 ธันวาคม 2565 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องทุกข์ จากนางสุณี อายุ 65 ปี ว่าถูกลูกสะใภ้และลูกชายชักชวนให้นำโฉนดที่ดินไปจำนอง และจะนำเงินที่ได้มาซ่อมแซมบ้าน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2563 โดยนางสุณี อายุ 65 ปี(แม่) พร้อมด้วยลูกชาย นายธีรศักดิ์ อายุ 40 ปี และลูกสะใภ้นางสาวสุภัทวดี อายุ 32 ปี ได้ไปที่สำนักงานกรมที่ดินอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ


ได้พบกับนายเกรียงไกร วัฒนกิจศิริ และทำการจดจำนอง ได้เงินสดมาเป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท โดยนางสุภัทรวดี (ลูกสะใภ้) ได้นำเงินไปเป็นจำนวนเงิน 180,000 บาทและมอบให้กับนางสุณี ผู้เป็นแม่ จำนวนเงิน 20,000 บาท ซึ่งตนเองยอมรับว่าไม่ได้อ่านหนังสือหรือข้อความทั้งหมดโดยเซ็นชื่อตัวเองเป็นตัวหนังสือจำนวน 6 ที่ด้วยกัน หลังจากได้เงินต่างแยกย้าย โดยลูกสะใภ้และลูกชายนำเงินทั้งหมดกลับไปที่บ้านพักจังหวัดนนทบุรี


ซึ่งหลังจากนางสุณี ได้เงินจำนวนดังกล่าวมาไม่นานนัก นายธีระศักดิ์ (ลูกชาย) ได้โทรมาขอเงินอยู่เป็นประจำ กระทั่งผู้เป็นแม่ได้ใช้เงินเต็มจำนวนเพียง 12,000 บาท หลังจากนั้นไม่นานลูกชายและลูกสะใภ้ของตนเองก็ได้เข้ามาพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันกับตน ซึ่งคาดว่าเงินจำนวน 180,000 บาททั้งหมดน่าจะหมดลง จึงมาขอเงินจากผู้เป็นแม่เพิ่มเติม


ขณะเดียวกันได้มีหนังสือทวงถามจากสำนักงานทนายความย่านนนทบุรี ถึงนางสุณี  ผู้จำนอง ว่าได้ทำหนังสือกู้ยืมเงินและทำหนังสือสัญญากับนายสมยศ ผู้รับจำนอง ซึ่งผู้จำนองได้กู้ยืมเงินจำนสน 200,000 บาท โดยให้ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี และตกลงนำส่งดอกเบี้ยเดือนละครั้งเสมอไป ผู้รับจำนองตกลงรับจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ผู้จำนองตกลงจำนอง แก่ผู้รับจำนองเพื่อเป็นการประกันหนี้ การกู้ยืมเงินซึ่งผู้จำนอง ได้กู้ยืมจากผู้จำนอง และถือสัญญาจำนองนี้ เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินด้วย


ตนเองจึงนำหนังสือดังกล่าวไปให้ลูกชายและลูกสะใภ้อ่าน เนื่องจากไม่มีความรู้ ได้คำตอบกลับมาว่า เขาจะมายึดบ้านแล้ว หลังจากที่แม่เอาโฉนดดังกล่าวไปจำนองไว้ที่สำนักงานกรมที่ดินอำเภอพระประแดงกับนายหน้าที่รับจำนอง จากนั้นลูกสะใภ้จึงอธิบายว่า แม่ของนางสาวสุภัทรวดี (ลูกสะใภ้) ได้ให้เงินก้อนมาเป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท เพื่อทำการไถ่ถอนโฉนดที่จำนองไว้กับนายเกรียงไกร แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเปลี่ยนชื่อโฉนดจากของนางสุณี มาเป็นของนางสาวสุภัทรวดี (ลูกสะใภ้) แต่เพียงผู้เดียว


ซึ่งนางสุณี กล่าวว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากที่ดินผืนดังกล่าวเป็นของตนเอง และตนเองเป็นผู้ซื้อไว้เมื่อ 30 กว่าปีก่อน นอกจากนี้ตนเองไม่มีรายได้ อีกทั้งมีโรคประจำตัวที่จะต้องรักษา จึงไม่มีเงินเพียงพอที่จะหาเงินจำนวน 200,000 บาท มาไถ่ถอนที่จำนองไว้กับนายหน้า หรือนายเกียงไกร ที่ผู้เป็นลูกชายและลูกสะใภ้ ได้เกลี้ยกล่อมให้จำนองจึงเป็นหนี้ดังกล่าว หลังจากได้เงินมาแล้วก็ไม่ได้มีการซ่อมแซมหรือบูรณะบ้านให้ใหม่แต่อย่างใด


อย่างไรก็ตามนางสุนีย์ อยากจะวิงวอน ขอความเมตตาจากผู้รับจำนองให้ไม่มายึดที่ดินผืนสุดท้ายซึ่งตนเองอยากจะเก็บไว้พักอาศัย และรักษาตัวในบั้นปลายชีวิต โดยที่เซ็นชื่อในตอนจำนองที่ดินนั้นตนเองไม่มีความรู้และไม่ได้อ่านจึงยอมตกลงและไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้


นางศศิธร อายุ 66 ปี เพื่อนบ้าน เล่าให้ฟังว่า ตนเห็นมีรถมาจอดหน้าบ้าน และมีการถ่ายรูปจึงเดินเข้าไปถาม จากนั้นนางสุณี ได้เดินไปร้องไห้ไปว่าบ้านกำลังจะโดนยึด ลูกเอาบ้านไปจำนองไม่ได้มีการส่งดอกเบี้ยเลยเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ตอนนี้นายทุนก็มาและถ่ายรูปเพื่อเขาจะยึดโดยจำนองไปตั้งแต่ปี 62 ตอนนี้ปี 65 แล้ว ยังไม่มีการเดินเรื่องไถ่ถอนเลย


นางศศิธรกล่าวว่า ตนก็สงสารแต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร บางทีไม่มีอะไรกินก็ยื่นให้บ้าง เขาก็เดินเก็บขยะตั้งแต่ตี 2 ตี 3แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาไถ่บ้าน แล้วบ้านทั้งหลังก็ไม่ใช่แค่ราคา 2 แสนนะมันมีมูลค่ามากกว่านั้น นึกสงสารแต่ไม่รู้จะทำไงดีและก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร

คุณอาจสนใจ