สังคม

แม่ใจสลาย! ลูกชายวัย 1 ขวบเศษล้มหัวฟาดพื้น พยาบาลหยิบยาผิด ให้ซดกรด ‘TCA’ จนคอไหม้ อาการโคม่า

โดย petchpawee_k

9 ธ.ค. 2566

807 views

แม่ถึงช็อกลูกวัย 1 ขวบ 4 เดือน ล้มหัวฟาดพื้น ส่งรพ. แต่พยาบาลหยิบยาผิดให้กิน อาการโคม่า  ด้าน รพ.สั่งพักงาน จนท.จ่ายยาผิด 1 ขวบ ซดกรด TCA จนคอไหม้ ญาติคาใจเหตุผล จวกสะเพร่า

เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา  นางสาวสุพัตรา  อายุ 25 ปี  แม่ของเด็กชายวัฒนชัย  อายุ 1 ขวบ 4 เดือน พาลูกชายที่ลื่นล้มหัวฟาดพื้นในห้องน้ำ ไปรักษาที่โรงพยาบาลบางจาก  จ.สมุทรปราการ  แพทย์ที่รักษาเห็นสมควรให้เด็กสแกนสมองเพื่อดูว่ามีเลือดคั่งในสมองหรือไม่   โดยจะส่งตัวเด็กไปสแกนสมองที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ  เพราะที่โรงพยาบาลบางจากไม่มีเครื่องมือที่พร้อม โดยให้แม่และเด็กขึ้นรถฉุกเฉิน ไปพร้อมกับพยาบาลของโรงพยาบาลบางจาก

โดยก่อนจะส่งตัว แพทย์เจ้าของไข้ได้สั่งจ่ายยาสลบให้เด็ก เพื่อเวลาไปถึงโรงพยาบาลที่ 2 จะได้ง่ายต่อการสแกนสมอง โดยคุณแม่ให้ญาติไปรับยาที่ห้องจ่ายยา เป็นไซริงค์ที่มียาน้ำใสๆ 1 หลอด  ปริมาณ 5 CC และน้ำเปล่า ปริมาณ 5 CC อีก 1 หลอด พร้อมบอกวิธีการกิน แต่ซองที่ใส่ไซริงค์ ไม่มีแผ่นป้ายชื่อน้องวัฒนชัย และไม่มีชื่อแพทย์เจ้าของไข้

เมื่อรถฉุกเฉินเดินทางไปถึงโรงพยาบาลสมุทรปราการ  พอรถจอด พยาบาลบนรถก็บอกให้แม่ป้อนยาลูก  แต่เมื่อแม่เอาไซริงค์ป้อนยาให้ลูกไปได้เพียง 2 CC  ลูกน้อยร้องไห้จ้าขึ้นมาและดิ้นเหมือนปวดแสบปวดร้อน  แม่ตกใจและถามพยาบาลที่มาด้วยว่า  จะเป็นอะไรหรือไม่  พยาบาลตอบว่า ไม่เป็นอะไร และให้แม่ป้อนยาให้หมด  แม่จึงพยายามป้อนยาที่เหลืออีก 3 CC  แต่ปรากฎว่า ลูกดิ้น ทำให้ยากระเด็นมาโดนแขนแม่   แม่รู้สึกปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาทันที  แสบกว่าโดนพริกตำอีก จากนั้น อาการลูกก็แย่ลงทันที  ปากซีดขาวและร้องไห้หนักมากขึ้น  จนถูกนำตัวไปรักษาที่ห้องไอซียูทันที  แต่แพทย์โรงพยาบาลสมุทรปราการ ตัดสินใจส่งตัวเด็กไปรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดีในทันที แม่บอกว่า  ตอนนั้นเห็นปากและคอของลูกชาย ดำเป็นรอยไหม้


หลังจากนั้น มีตัวแทนของโรงพยาบาลบางจาก โทรศัพท์มายอมรับว่า  เกิดความคลาดเคลื่อนในการให้ยาในวันเกิดเหตุ โดยยาที่คาดว่านำมาให้เด็กกิน เป็นยา ที่ชื่อว่า "TCA" ซึ่งเป็นยาใช้ภายนอก สำหรับสลายเนื้อเยื่อ เช่น หูดหงอนไก่ จะมีกรดไตรคลอโรอะซิติก (Trichloroacetic Acid)  มีฤทธิ์เป็นกรดไม่สามารถใช้เป็นยารักษาภายในได้  และทางตัวแทนของโรงพยาบาลดังกล่าวยังบอกอีกว่า  ได้เก็บยาดังกล่าวไว้ในห้องเดียวกันกับยาสลบที่จะต้องให้เด็ก ทำให้เภสัชกรที่ทำหน้าที่เบิกจ่ายยา อาจเกิดความเข้าใจผิด หยิบยาผิดขวดเพราะขวดมีลักษณะคล้ายกัน

นางสาวสุพัตรา บอกว่า  เมื่อฟังที่ตัวแทนของโรงพยาบาลบอกมา ตอนนั้นหัวใจสลาย   เพราะไม่น่าเชื่อว่าความผิดพลาดแบบนี้จะมาจากโรงพยาบาลที่มีผู้เชี่ยวชาญเรื่องยา และยืนยันว่าหลังจากนี้จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

 ช่วงบ่ายวานนี้  (8 ธ.ค.66) แม่ของเด็กชายวัย 1 ขวบ 4 เดือน พร้อมด้วยป้า และนางสาวชลิดา พะละมาตย์ ประธานกลุ่มเป็นหนึ่ง เดินทางไปที่โรงพยาบาลบางจาก เพื่อรับฟังคำชี้จแงจาก นพ.วันฉัตร ชินสุวาเทย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางจาก  โดยมีการนำขวดยาที่ดูดใส่ไซริงค์ มาให้ดู เป็นขวดยาสีชา ฝาสีดำปิดฉลากสีขาวเขียนว่า “Choroacetic acid Lot NO. TCA80 661030 หมดอายุ 30 ตุลาคม 2567”            


นพ.วันฉัตร ชี้แจงว่า หลังจากที่รับทราบเรื่อง ก็ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นและได้ดูใบสั่งยาจากแพทย์  รวมถึงมีการรวบรวมข้อมูลและชี้แจงเบื้องต้นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทราบว่า เด็กหกล้มและมีปัญหาทางด้านศีรษะ จึงจะส่งตัวไปสแกนสมองที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ  เนื่องจากโรงพยาบาลบางจากไม่มีเครื่องสแกน  ซึ่งในระหว่างที่ส่งตัว ต้องให้ยาเคลิ้มกับเด็ก เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจ  แต่อาจจะมีความคาดเคลื่อนในการเตรียมยา จากยาที่ให้เด็กหลับ กลายเป็นยาอีกตัวหนึ่ง ที่มีฤทธิ์เป็นกรด จึงทำให้น้องเกิดอาการระคายเคือง ซึ่งเกิดเหตุในรถฉุกเฉิน จึงรีบนำตัวไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ แต่เด็กมีอาการหายใจติดขัด แพทย์ของโรงพยาบาลสมุทรปราการ จึงส่งตัวไปที่โรงพยาบาลรามาธิบดี


ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางจาก ระบุว่า ความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้น เข้าใจว่าน่าจะเป็นช่วงขั้นตอนการเตรียมยา โดยตอนนี้ทางโรงพยาบาลอยู่ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริง  ซึ่งได้มีการประสานกับทางจังหวัดและให้โรงพยาบาลรวบรวมข้อมูลที่มี  ส่งไปทางจังหวัดที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้น  ซึ่งในรายละเอียด อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล  


โดยตัวยาที่จ่ายไปนั้น คือ TCA หรือกรดไตรคลอโรอะซิติก (Trichloroacetic Acid) ซึ่งเป็นยาใช้ภายนอก สำหรับพวกติ่งเนื้อ หรือหูด ฤทธิ์เป็นกรด  หากรับประทานเข้าไปจะเกิดการระคายเคือง ซึ่งโดยปกติแล้ว ตัวยาทั้ง 2 ชนิด จะจัดวางแยกกัน  ระหว่างยาใช้ภายนอกที่มีฤทธิ์เป็นกรด และ ยาใช้ภายใน แต่ต้องไปตรวจสอบว่าความผิดพลาดเกิดจากอะไร แต่โดยขั้นตอนของการจ่ายยา ก็จะมีการจัดยาให้ตรง เป็นไปตามมาตรฐานของทุกโรงพยาบาล

เมื่อสอบถามว่า ยาทั้ง 2 ชนิด มีลักษณะใกล้เคียงกันหรือไม่  ทาง ผอ.โรงพยาบาลบางจาก ระบุว่า เท่าที่ทราบ จากที่รับแจ้งมา ทั้งบรรจุภัณฑ์ และสียาใกล้เคียงกัน


เบื้องต้น ขณะนี้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด หยุดงานทันทีในระหว่างขั้นตอนการสอบสวน  โดยผู้ที่จ่ายยาให้  เป็นทีมเภสัชกร หากพบว่า เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลมีความบกพร่องจริง ก็จะดำเนินการลงโทษตามระเบียบราชการ โดยโทษสูงสุดคือไล่ออก

นอกจากนี้ก็รวบรวมข้อมูลรายงานไปยังจังหวัดด้วย  พร้อมย้ำว่า โรงพยาบาลจากดูแลผู้ป่วยเด็กรายนี้ ทั้งเรื่องค่ารักษาพยาบาล และการเยียวยาโดยตรง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ระหว่างการแถลง นางสาวสิยากร  ป้าของเด็ก ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนออกมาชี้แจงกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่เอาตัวแทนมาพูด  โดยเฉพาะคนที่จ่ายยาให้   ป้ายังเล่าเหตุการณ์วันเกิดเหตุว่า ตนเองเป็นคนนำใบสั่งยาที่ได้จากพยาบาล  ไปติดต่อรับยานอนหลับที่ห้องเภสัช  ที่ช่องยาหมายเลข 5  ตอนรับยา เจ้าหน้าที่เตือนว่า  ให้จับดีๆ นะ ให้ระวัง ตนเองก็แปลกใจว่าให้ระวังอะไร นึกว่าให้ระวังหก หรือระวังมีเชื้อโรคเข้าไป


จากนั้นตนก็เอาไซริงค์นี้ส่งต่อให้กับเจ้าหน้าที่พยาบาล  ซึ่งป้าบอกว่า จำบุคลากรได้ทุกคน  รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่จ่ายยาให้  ก็ไม่ได้ใส่ชุดกาวน์สีขาวเหมือนเภสัชกร และเดินออกมาจากด้านหลังห้องรับยา เพื่อที่จะมารับใบสั่งยา ก่อนส่งต่อให้พยาบาล จากนั้นตนเองก็กลับบ้านไป กระทั่งแม่ของเด็ก โทรมาบอกว่า หลานทานยาเป็นกรดเข้าไป

ด้านนางสาวสุพัตรา  แม่เด็ก บอกว่า ตอนนี้ลูกมีอาการไข้ขึ้น และต้องใส่สายในจมูก ซึ่งทางครอบครัวก็ยังไม่ทราบข้อมูลแน่ชัดว่าเป็นสายอะไร นอกจากนี้น้องยังต้องเจาะคอ เพื่อให้สารอาหารผ่านเส้นเลือดดำ และที่น่ากังวลที่สุด คือ บริเวณกระเพาะอาหาร แพทย์แจ้งว่า มีความเสี่ยงที่จะทะลุจากพิษของตัวยา ที่มีฤทธิ์เป็นกรด ตามร่างกายก็เป็นแผลพุพองหลายแห่ง ขณะนี้ยังต้องอยู่ในห้องไอซียู

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ครอบครัวสภาพจิตใจย่ำแย่  และต้องการให้ทางโรงพยาบาลนำบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกมาพูดคุยและขอโทษกับครอบครัว โดยเฉพาะทีมเภสัชกรที่เป็นคนจ่ายยา และพยาบาลที่อยู่ในรถพยาบาลที่พยายามบังคับแม่เด็กป้อนยาให้เด็กกินให้ครบทั้ง 2 ไซริงค์

ส่วนอาการของเด็ก ที่ขณะนี้รักษาอยู่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ทางเพจเป็นหนึ่ง บอกว่า  เบื้องต้นแพทย์ แจ้งอาการหลังออกจากห้องผ่าตัด น้องมีไข้ขึ้นสูงถึง 40 องศา พยาบาลต้องคอยเช็ดตัวให้ตลอดและดูแลอย่างใกล้ชิด  ที่บริเวณลำคอหลอดลมมีความเสียหายเล็กน้อย ไม่น่าเป็นห่วงนัก เนื่องจากในขณะที่น้องกินยาเข้าไปจังหวะกลืนนั้นค่อนข้างเร็ว ยาจึงไม่ได้แช่อยู่บริเวณลำคอนานมากนัก แต่ก็มีสะเก็ดแผลเล็กๆ ในลำคออยู่บ้าง  

ในส่วนที่น่าเป็นห่วง คือ บริเวณช่องท้องกระเพาะ  เนื่องจากยาที่กินเข้าไปทั้งหมด ไปสะสมกันอยู่ที่กระเพาะอาหาร แพทย์จะรอดูอาการหลังจากนี้ 2-3 วัน ระหว่างนี้แพทย์จะสังเกตอาการของแผลในช่องท้อง ว่าจะดีขึ้นเองหรือแย่ลง ในระหว่างนี้ น้องต้องงดน้ำงดอาหาร 100% ต้องให้สารอาหารผ่านหลอดเลือดดำ  หากอาการยังไม่ดีขึ้นแพทย์จะทำการส่งลำกล้องเข้าไปภายในกระเพาะอาหาร เพื่อประเมินอาการต่อไป



รับชมผ่านยูทูบ : https://youtu.be/CtbAKJDt9rk

คุณอาจสนใจ

Related News