อาชญากรรม

ไล่เรียงไทม์ไลน์-เปิดปมแค้น คลั่งกราดยิงเพชรบุรี พ่อเมสเซนเจอร์ปล่อยโฮ รู้ข่าวลูกถูกลูกหลงดับ

โดย passamon_a

23 มี.ค. 2566

574 views

ไล่เรียงเหตุการณ์ #คลั่งกราดยิงเพชรบุรี ชายคลั่งกราดยิง 3 ศพ ก่อนถูกวิสามัญเสียชีวิต ศพเหยื่อเจ้าหน้าที่ต้องใช้รถกันกระสุน เข้าพื้นที่นำร่างออกมา สาเหตุปมคลั่งคาดเครียดขึ้นศาลหลายคดี ทั้งยาเสพติด ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ซึ่งในจำนวนผู้เสียชีวิต 2 รายเป็นคู่กรณีกับคนร้าย พบประวัติผู้ก่อเหตุเคยเป็นเจ้าหน้าที่อุทยาน ฝึกยิงปืน


ลำดับเหตุการณ์ พฤติการณ์ของคนร้าย


เมื่อวันที่ 21 มี.ค.66 เวลา 19.30 น. นายอนุวัช แหวนทอง หรือ ปิง อายุ 29 ปี ผู้ก่อเหตุ โวยวายหน้าบ้านตัวเอง ก่อนจะใช้ขวดปาใส่บ้านคู่กรณี ต่อมากลางดึกวันที่ 21 มี.ค.66 พบว่าผู้ก่อเหตุนำขวดและถ้วย มาวางไว้หน้าบ้านคู่กรณี แต่ไม่ทราบวัตถุประสงค์ดังกล่าว


ต่อเนื่องวันที่ 22 มี.ค.66 ช่วงสายของวันเกิดเหตุ นายอนุวัช ได้เบิ้ลรถ จยย. เสียงดังหน้าบ้านของคู่กรณี ก่อนที่ในช่วงบ่าย เวลา 13.35 น. เสียงปืนนัดแรกดังขึ้น ก่อนที่ในเวลา 13.36 น. ชาวบ้านในพื้นที่พบเห็นศพผู้เสียชีวิตคนแรก จึงได้โทรศัพท์แจ้ง 191 จนกระทั่งตำรวจเข้าระงับเหตุ โดยมีกำลังตำรวจกว่า 100 นาย เข้าระงับเหตุ แต่คนร้ายไม่มีทีท่าจะยอมจำนน ยังยิงต่อสู้ตลอดเวลา เมื่อเห็นตำรวจเข้าใกล้ ตำรวจพยายามเข้าปิดล้อมพื้นที่ ทำให้คนร้ายถอยกลับเข้าบ้าน จากนั้นขึ้นไปอยู่บนชั้น 2 ของบ้าน เพื่อดูการทำงานของตำรวจ


ขณะเดียวกันนั้น บริเวณใกล้เคียงมีศูนย์เด็กเล็ก จึงได้เคลื่อนย้ายเด็กเล็กจำนวน 40 คน ออกจากจุดดังกล่าวไปยังที่ปลอดภัย ส่วนชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว ต่างตื่นตกใจ และเก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย


ขณะที่ตำรวจกระจายกำลังเพื่อที่จะเข้าไปในที่เกิดเหตุ แต่ยังไม่สามารถเข้าไปได้ เนื่องจากผู้ก่อเหตุยังใช้อาวุธปืนยิงสวนออกมาอย่างต่อเนื่อง ต่อมาตำรวจพาแม่ผู้ก่อเหตุมาช่วยเกลี้ยกล่อม เพื่อให้คนร้ายสงบลง ผ่านไปกว่า 30 นาที การเกลี้ยกล่อมของแม่ผู้ก่อเหตุยังไม่เป็นผล เจ้าหน้าที่จึงพาตัวออกมาพัก โดยแม่ยังมีอาการเครียด และร้องไห้ตลอดเวลา ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะพาคุณแม่เข้าไปพักภายในบ้านพัก


จากนั้นพบว่ามีเสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่า เวลา 17.10 น. เสียงปืนดังขึ้น 2 นัด เวลา 18.47 น. เสียงปืนดังขึ้น 1 นัด เวลา 19.01 น. เสียงปืนดังขึ้น 1 นัด เวลา 19.26 น. เสียงปืนดังขึ้น 3 นัด


ต่อมาเวลาประมาณ 20.00 น. ตำรวจนำรถตำรวจเข้าล่อเป้านายอนุวัช เพื่อให้ พฐ. ดูวิถีกระสุน โดยปรากฏว่ารถตำรวจคันดังกล่าวถูกนายอนุวัช ยิงโต้กลับ กระทั่งเวลา 20.40 น. มีรายงานตำรวจโดนยิงจากกระสุนปืน เฉี่ยวเข้าบริเวณแก้มขวา 1 นาย ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย โดยอาวุธปืนดังกล่าวเป็นปืนยาว ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล สำหรับผู้บาดเจ็บคือ ร.ต.ท.สมหมาย แย้มเยื้อน รองสารวัตรสืบจังหวัดเพชรบุรี


ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เคลียร์พื้นที่ให้นักข่าวออกจากพื้นที่ เพราะเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะผู้ก่อเหตุมีอาวุธปืนยาว ก่อนที่ในเวลาประมาณ 22.00 น. รถหุ้มเกราะป้องกันกระสุน โดยเจ้าหน้าที่ได้ปิดล้อมบ้านหลังเกิดเหตุไว้ทุกทิศทาง ซึ่งการทำงานเน้นความรัดกุม เเละคำนึงถึงความปลอดภัยของคนในพื้นที่ กระทั่งเวลา 22.56 น. พบว่าเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งจำนวน 1 นัด มาจากฝั่งบ้านของผู้ก่อเหตุ


จากนั้นเวลา 23.50 น. น.ส.จามรี อนุรัตน์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเพชรบุรี ได้รับมอบหมายจาก พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ออกมาให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน ว่าครั้งแรก ยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิต 3 ราย เเละผู้บาดเจ็บ 3 ราย


ส่วนผู้ก่อเหตุ ณ เวลานั้น ได้รับการยืนยันว่ายังมีชีวิตอยู่ โดยยังคงอยู่ในบ้านหลังเกิดเหตุ พร้อมกันนี้ ผู้ก่อเหตุมองเห็นเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านนอก จึงใช้วิธีการลากเฟอร์นิเจอร์มาเป็นเกาะกำบังป้องกันการยิงเข้าไปของเจ้าหน้าที่ ขณะเดียวกันนั้นเจ้าหน้าที่ได้เริ่มปฏิบัติการเข้าไปลำเลียงร่างผู้ที่ถูกยิงออกมาจากพื้นที่


จนเมื่อเวลา 23.49 น. ผู้สื่อข่าวได้ข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ นำกำลัง 1 ชุด พร้อมกับรถกระบะ 1 คัน เป็นโล่กำบัง ขับนำเข้าไปใกล้กับบ้านที่เกิดเหตุ พร้อมกับนำเปลสนาม ซึ่งเป็นอุปกรณ์เคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าไปด้วย ก่อนที่ในเวลา 23.52 น. เจ้าหน้าที่นำร่างของ นายรัฐกร ทองแก้ว หรือ เบล อายุ 22 ปี สวมใส่เสื้อแดง ออกมาจากที่เกิดเหตุได้เป็นรายแรก จากนั้นนำเปลที่สองเข้าไป


ต่อมาประมาณ 23.55 น. เจ้าหน้าที่สามารถนำร่าง นายพสิษิตฐ์ เอมโอษ หรือ โอ๊ต อายุ 22 ปี สวมใส่เสื้อสีดำ คู่กรณีคนก่อเหตุ ออกจากพื้นที่เกิดเหตุ โดยทั้งร่างทั้ง 2 ราย เสียชีวิตอยู่ห่างกันไม่ถึง 2 เมตร จึงสามารถเคลื่อนย้ายออกมาได้ต่อเนื่อง


ต่อมา 00.21 น. เจ้าหน้าที่ได้นำร่างของ นายสิรภัทร วัฒนะ อายุ 27 ปี พนักงานส่งพัสดุที่เสียชีวิต ขึ้นรถกระบะกันกระสุน พร้อมกับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียชีวิตออกจากที่เกิดเหตุ


ทำให้ขณะนี้ สามารถเก็บกู้ร่างของผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย ออกมาได้แล้ว โดยพบว่าร่างผู้เสียชีวิตนอนเสียชีวิตเป็นเวลากว่า 11 ชม. นับจากช่วงเวลาเกิดเหตุ จึงสามารถนำร่างออกมาได้ ก่อนที่จะนำร่างส่งชันสูตรพลิกศพที่ รพ.พระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี


ต่อมาเวลา 01.09 น. ชุดปฏิบัติการพิเศษ นำกำลัง 2 ชุด ประกอบด้วยคอมมานโด และนเรศวร 261 พร้อมรถหุ้มเกราะจำนวน 2 คัน เข้าไปยังบริเวณบ้านที่เกิดเหตุอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เข้าไปพร้อมกับอาวุธครบมือ และกำลังที่มากกว่า 3 ครั้งที่ผ่านมา โดยพบว่าครั้งนี้ สถานการณ์เริ่มตึงเครียด


จนกระทั่งเวลา 01.11 น. มีเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งต่อเนื่องจนถึงเวลา 01.19 น. รวม 24 นัด ถัดมาอีก 2 นาที ในเวลา 01.21 น. เสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายชุด กว่า 25 นัด นานต่อเนื่องประมาณ 1 นาที ก่อนที่ในเวลา 01.28 น. มีรายงานว่าชุดปฏิบัติการพิเศษพร้อมรถหุ้มเกราะ ถอนกำลังจากหน้าบ้านผู้ก่อเหตุ กลับเข้ามายังที่ตั้ง ซึ่งช่วงที่เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ เข้าไปยังบ้านผู้ก่อเหตุ มีการบินโดรนดูพฤติการณ์ตลอดเวลา ซึ่งมีรายงานมีโดรนถูกยิงตก 1 ตัว


ต่อมาเวลาประมาณ 02.00 น. ปรากฏว่าเสียงปืนรัวขึ้นอีกครั้ง 5 นัด ต่อเนื่องด้วยเวลา 02.22 น. เสียงดังรัวขึ้นอีก 8 นัด ต่อเนื่องจนถึงเวลา 02.25 เสียงปืนดังรัวรวมกว่า 22 นัด


หลังจากที่สถานการณ์เงียบไปกว่า 1 ชม. ต่อมาเวลา 03.30 น. เจ้าหน้าที่ใช้โดรนบินขึ้นสำรวจอีกครั้ง ต่อด้วยพบว่ามีเสียงปืนดังขึ้นอีก 10 นัด ซึ่งเป็นลักษณะของปืนแบลงค์กันจากฝั่งเจ้าหน้าที่ ซึ่งคาดว่าเป็นเสียงปืนในลักษณะของการหยั่งเชิงดูว่าตัวผู้ก่อเหตุเองจะตอบโต้กลับมาหรือไม่ ซึ่งหลังจากที่เจ้าหน้าที่ยิงไป แต่ขณะไม่พบว่าผู้ก่อเหตุมีการตอบโต้กลับมาในทันที


จากนั้น เวลา 03.36 น. มีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัดจากฝั่งบ้านของผู้ก่อเหตุ และในเวลา 04.00 น. เจ้าหน้าที่แจ้ง ว14 หมายถึงว่าปิดภารกิจ ต่อมา พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 แถลงยืนยันว่า ปิดปฏิบัติการแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ตัดสินใจวิสามัญผู้ก่อเหตุ โดยปฏิบัติการดังกล่าวใช้เวลาทั้งสิ้น 15 ชม.


พล.ต.ท.ธนายุตม์ ยืนยันว่า เจ้าหน้าปฏิบัติตามขั้นตอน ใช้ยุทธวิธีจากเบาไปหาหนัก ส่วนที่เหตุการณ์ยืดเยื้อ เนื่องจากคนก่อเหตุยิงตอบโต้ตำรวจ จึงต้องมีการนำชาวบ้านออกมาให้หมดก่อน ถึงจะสามารถเข้าควบคุมพื้นที่ ก่อนที่จะมีการวิสามัญ เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเจรจาแล้วแต่ไม่เป็นผล ผู้ก่อเหตุยังจะยิงตอบโต้กลับมา จากชั้น 2 ของบ้าน โดยปิดไฟ ปิดม่าน และมีมุมกำบัง ทำให้ตรวจมองไม่เห็น แต่คนก่อเหตุมองเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชัดเจน


โดยผู้ก่อเหตุยิงตอบโต้กลับมา โดนโล่กำบังของตำรวจชุดอินทน์ 7, ชุดปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 และคอมมานโด จำนวน 6 นัด จนมีสภาพยุบ ถ้าตำรวจไม่มีโล่คงได้รับบาดเจ็บ ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ คนก่อเหตุก็ยังยิ่งคลุ้มคลั่ง จนตัดสินใจวิสามัญในที่สุด ไม่อยากให้มีความสูญเสียเกิดขึ้น


จากการตรวจสอบในบ้าน พบว่าผู้ก่อเหตุเสียชีวิตบริเวณ 2 ของบ้าน พบปืนขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก ซึ่งอยู่ระหว่างการค้นหา ว่าจะมีอาวุธปืนมากกว่านี้หรือไม่ ยืนยันว่า มีผู้เสียชีวิต 3 ราย (หากรวมผู้ก่อเหตุพบเสียชีวิต 4 ราย) และได้รับบาดเจ็บ 3 ราย


จากการตรวจสอบประวัติ คนก่อเหตุมีประวัติชอบฝึกยิงปืนจนเกิดความชำนาญ เพราะขณะก่อเหตุจะยิงปืนรัวหลายนัดตอบโต้กลับมา ส่วนผู้เสียชีวิต 3 ราย โดนยิงรวมกัน มากกว่า 30 นัด


ทางด้าน นายณัฏฐชัย นำพูลสุขสันติ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า เบื้องต้นจะเข้าไปเยียวครอบครัวผู้สูญเสียตามขั้นตอน ตามกฎหมาย ทั้งความเสียหายเเละความรู้สึก โดยจะให้นักจิตวิทยาเข้ามาดูเเล ซึ่งจังหวัดเพชรบุรี ถือเป็นเมืองเเห่งธรรมะ ไม่สมควรจะเกิดเหตุการณ์เเบบนี้


ขณะที่ พล.ต.ต.ปิติ นฤขัตรพิชัย ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี เปิดเผยว่า ผู้ก่อเหตุทักเฟซบุ๊กบอกเพื่อน ยืนยันว่าจะไม่เจรจา และจะต่อสู้กับตำรวจอย่างแน่นอน


ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ พบปืนขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก และ แมกกาซีนบรรจุกระสุน 2 ชุด นอกจากนี้ได้รับข้อมูลจากญาติ มักจะสั่งซื้อกระสุนทางออนไลน์มาเก็บไว้ ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบจำนวนที่แน่ชัด และยังพบว่าบริเวณพื้นบ้านคนก่อเหตุ เทราดน้ำมันพืชไปทั่วบ้าน สันนิษฐานป้องกันการเข้าจู่โจมของตำรวจ


ส่วนประวัติ พบว่าผู้ก่อเหตุเคยเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอุทยานแห่งชาติทับลาน ซึ่งทำงานได้แค่ 6 เดือน เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา แต่ทางหน่วยงานไม่ต่อสัญญาผู้ก่อเหตุต่อ


พล.ต.ต.ปิติ ยืนยันว่า ปมก่อเหตุเกิดจากที่ผู้ก่อเหตุเคยมีปัญหากับคู่กรณี เมื่อเดือน พ.ย.65 ที่ผ่านมา จนต้องขึ้นศาล มาแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งช่วงบ่ายเมื่อวานนี้ (22 มี.ค.66) มีนัดขึ้นศาล เป็นครั้ง 3 โดยมีทนายและครอบครัวทั้งสองฝ่ายเดินทางไปรอที่ศาลแล้ว แต่ไม่พบว่าทั้งคู่มาตามนัด กระทั่งมารู้ข่าวเหตุการณ์กราดยิงดังกล่าว


ด้าน นายนรากร เพื่อนสนิทของนายรัฐกร หรือเบล และนายพสิษฐ์ หรือโอ๊ต เปิดใจกับทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ว่า ได้มาติดตามเหตุการณ์ที่เพื่อนถูกนายปิงก่อเหตุยิง ซึ่งในตอนแรกเพื่อนยังไม่ได้เสียชีวิตในทันที แต่ไม่มีใครสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ จนตอนนี้ก็คาดว่าน่าจะเสียชีวิตแล้ว ตอนรู้สึกเสียใจอย่างมาก เพราะทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกัน


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นยอมรับว่ากลุ่มพวกตนเองมีปัญหากระทบกระทั่งกับนายปิง ผู้ก่อเหตุ มานานแล้ว เนื่องจากนายปิงไม่ชอบหน้ากลุ่มของเพื่อนตนเองที่มานั่งเล่นหน้าบ้าน ซึ่งเป็นฝั่งตรงกันข้ามกับบ้านผู้ก่อเหตุ และปมสำคัญที่ทำให้เกิดการไม่พอใจกัน ก็คือช่วงหนึ่งเคยเกิดเหตุการณ์นายปิง ผู้ก่อเหตุได้ชูนิ้วกลางให้กับนายโอ๊ต เพื่อนของตนเองที่เสียชีวิต จากนั้นก็มีการด่ากันไปมาเรื่องการชูนิ้วกลางให้กัน


จากนั้นก็มีปัญหาเรื่อยมา จนกระทั่งนายปิงผู้ก่อเหตุ มาหาเรื่องนายโอ๊ตที่หน้าบ้าน และใช้อาวุธปืนตบที่ใบหน้าหนึ่งครั้งจนได้รับบาดเจ็บ จากนั้นนายโอ๊ตและเพื่อนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ไปแจ้งความตำรวจเพื่อดำเนินคดีกับนายปิง ในข้อหาทำร้ายร่างกายทำให้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตอนที่ตำรวจสอบปากคำก็ได้มีการตรวจปัสสาวะนายปิงและพบว่ามีสารเสพติด จึงถูกแจ้งข้อหาเรื่องสารเสพติดด้วย


จากนั้นคดีเข้าสู่ชั้นศาลและขึ้นศาลมาแล้วหนึ่งครั้ง ซึ่งวันที่ 22 มีนาคม เป็นวันที่จะต้องขึ้นศาลอีกครั้ง โดยนายโอ๊ต และนายเบล ซึ่งเป็นพยาน กำลังจะเดินทางไปที่ศาลจังหวัดเพชรบุรี แต่ระหว่างนั้นพบว่านายปิงใช้อาวุธปืนยิงเพื่อนทั้งสองคน ซึ่งครั้งแรกยังไม่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที แต่เนื่องจากไม่มีใครสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ทำให้เสียเลือดมากและเสียชีวิตในเวลาต่อมา


พอช่วงค่ำตนก็เข้าใจว่าตำรวจจะสามารถดำเนินการได้แล้ว จึงอยากเข้าไปรับศพเพื่อน แต่ก็พบว่าตำรวจยังไม่สามารถดำเนินการกับนายปิงได้ โดยส่วนตัวตอนนั้นก็อยากให้ตำรวจเร่งดำเนินการ เพราะการกระทำกับเพื่อนเป็นอันตรายอย่างมาก และเป็นอันตรายกับบุคคลอื่น


สำหรับนายโอ๊ตและนายเบล เป็นเพื่อนรักที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม และอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าก็จะเรียนจบแล้ว โดยนายเบลมีครอบครัวและมีลูกหนึ่งคน ทุกคนมีความหวังว่าเรียนจบ จะได้ทำงานมีอาชีพเลี้ยงดูครอบครัว ตอนนี้ยอมรับว่าจุกอกมากจนพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะต้องมาจบชีวิตลงแบบนี้


สำหรับเหตุการณ์ชายคลั่งกราดยิง ซึ่งหนึ่งในผู้เสียชีวิตนั้น เป็นชาย ขี่รถจักรยานยนต์ส่งสินค้า เสียชีวิตในสภาพนอนข้างรถจักรยานยนต์บนถนน ภายในหมู่บ้าน ซึ่งเมสเซนเจอร์รายนี้ขี่รถผ่านมาช่วงเวลาที่เกิดเหตุ ชายคลั่งใช้อาวุธปืนยิงออกมาที่หน้าบ้าน กระสุนทะลุเข้าที่เมสเซนเจอร์คนนี้ ทำให้เสียชีวิต


วานนี้ขณะที่ทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ลงพื้นที่ ก็ได้พบกับ นายธนวัฒน์ อายุ 47 ปี พ่อเลี้ยง นายสิรภัทร วัฒนะ อายุ 27 ปี ผู้เสียชีวิต เดินเข้ามาสอบถามข้อมูลกับทีมข่าวว่า ชายที่เป็นพนักงานส่งของขับรถทะเบียนอะไร เพื่อตรวจสอบหลังจากติดต่อลูกชายที่เป็นพนักงานส่งของไม่ได้ และเห็นข่าวว่าเกิดเหตุคนคลั่งยิงอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้


เมื่อทีมข่าวเปิดภาพให้คุณพ่อดู คุณพ่อเห็นภาพลูกนอนเสียชีวิต และเห็นทะเบียนรถชัดเจน ก็ถึงกับร้องโฮ พูดไม่ออก ส่วนน้องชายที่ออกตามหาก็ร้องไห้เช่นกัน


คุณพ่อบอกว่ารับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลูกชายเป็นคนดีทำมาหากินโดยสุจริต และวันนี้ตอนเช้าก็รับสินค้าเพื่อไปส่งลูกค้าตามปกติ แต่ก็ต้องมาเสียชีวิตจากฝีมือของชายคลั่ง ซึ่งในความรู้สึกส่วนตัวเหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงค่ำ ตำรวจก็ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ตนในฐานะที่สูญเสียลูกอยากขอให้ตำรวจวิสามัญไม่อยากให้มีคนแบบนี้อยู่ในสังคม เพราะเป็นอันตรายกับบุคคลอื่น ช่วงนี้คุณพ่อถึงกับอดกลั้นความรู้สึกไม่ไหว บอกว่าตำรวจทำงานหน่อมแน้มมาก ไม่ทำอะไรสักที จะเข้าไปเอาศพลูกก็ทำไม่ได้


คุณพ่อยังบอกว่าลูกชายตนนั้นเป็นคนขยัน และตอนนี้ก็เก็บเงินเตรียมที่จะบวช ในเร็วนี้ ครอบครัวญาติและทุกคนก็ดีใจและรอเตรียม หาฤกษ์เพื่อที่จะจัดงานบวชให้ลูก แต่สุดท้ายก็ต้องมาเสียชีวิต


ส่วน เพื่อนบ้านซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้านของนายปิง ที่ก่อเหตุ บอกว่า นายปิงนั้นย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เล็ก โดยอาศัยอยู่กับแม่ซึ่งเป็นครูสอนอนุบาลโรงเรียนแห่งหนึ่ง โดยระหว่างที่อาศัยก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร จนกระทั่งช่วงระยะหลังนายปิงมีอาการคล้ายคนคลุ้มคลั่ง มักจะออกมาด่าทอเพื่อนบ้านหลายครั้ง รวมไปถึงแม่ของตนเองก็ถูกด่าเช่นกัน แต่พอด่าไปแล้ววันต่อมาก็นำกล้วยหรือนำสิ่งของมาให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเรียกว่าอาการคุ้มดีคุ้มร้าย โดยที่บ้านของตนก็ไม่ได้ถือสาและไม่ได้คิดว่าจะมีอาวุธปืนและก่อเหตุถึงขนาดนี้


ในช่วงปีที่ผ่านมา พบข้อมูลว่าเคยมีจิตแพทย์เข้ามาพบนายปิงที่บ้านพัก แต่ไม่รู้ว่าเข้ามารักษาหรือเข้ามาเพราะอะไรจึงไม่มีใครสนใจ เพราะว่าเป็นเรื่องส่วนตัว จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นี้ ก็ไม่รู้ว่าคลุ้มคลั่งเพราะป่วย หรือเพราะมีอาการอย่างอื่น หรือเสพสารเสพติด


ขณะที่ คุณเอ๋ (นามสมมติ) อดีตเพื่อนของนายปิง ผู้ก่อเหตุ ให้ข้อมูลว่า นายปิงเป็นคนใช้สารเสพติด หากมีการเสพยาเสพติดเมื่อไหร่ก็จะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง เมื่อคลุ้มคลั่งก็จะออกมาด่ากับเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามที่เป็นคู่อริ และรอบ ๆ บ้านโดยไร้เหตุผล บางวันก็ดีบางวันก็ร้ายเป็นอาการคล้ายคนคลุ้มคลั่งอยู่แบบนี้ตลอดเวลา จนชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้รู้ว่า ที่ซอยสี่อันตราย


ที่ผ่านมานายปิงหากไม่เสพยา หรือดื่มแอลกอฮอล์ ก็เป็นปกติ แต่ในระยะหลังที่เริ่มเสพยาเสพติดก็มีอาการคลุ้มคลั่ง และมักทะเลาะกับเพื่อนเป็นประจำ จนทำให้กลุ่มเพื่อนบางคนเลิกคบเพราะนายปิงพูดไม่รู้


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/Rmi7-H7Sogs

คุณอาจสนใจ

Related News