ปชช.จากรัฐกะเหรี่ยง หนีภัยการสู้รบเข้าไทย ผ่านทางริมแม่น้ำสาละวินเกือบ 2,000 คนแล้ว

ภาพการอพยพของประชาชนในรัฐกะเหรี่ยง ทั้งจากค่ายอพยพอิตูท่า และหลายหมู่บ้าน ริมแม่น้ำสาละวิน จังหวัดมือตรอ รัฐกะเหรี่ยง ของเมียนมา ลงเรือข้ามแม่น้ำสาละวิน มายังฝั่งชายแดนไทย ซึ่งล่าสุดหน่วยงานความมั่นคงไทย รายงานตัวเลขการลักลอบหนีเข้าเมืองประชาชนจากรัฐกะเรี่ยงในวันนี้ 28 มีนาคม มีจำนวน 1,900 คน มาพักอยู่ริมน้ำและแนวป่าสาละวิน ใหล้ฐานออเลาะ ฐานสบแงะ และฐานแม่สะเกิบ ตำบล แม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมทหารพรานที่ 36 และเข้ามาเมื่อวันที่ 26 มีนาคมแล้ว 294 คน รวมแล้วกว่า 2 พันคน

การอพยพครั้งนี้ เกิดขึ้น หลังจากกองทัพเมียนมา เปิดปฏิบัติการทางอากาศ ใช้เครื่องบินโจมตี ฐานกองพล 5 กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง KNLA สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU เมื่อคืนวันที่ 27 มีนาคม ตั้งแต่ สองทุ่มถึงตี 1 ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 7 ราย บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 1 หลัง มีประชาชนทั้งเด็ก ผู้หญิง ผู้สูงอายุ หนีภัยการสู้รบอยู่ตามถ้ำและพื้นที่ป่า ในขณะที่บ่ายวันนี้ กองทัพเมียนมา ปฏิบัติการโจมตีด้วยเครื่องบินอีกครั้ง เหนือพื้นที่บ้าน เกท่า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านอิตูท่า และเกิดขึ้นหลังประชาชนอพยพมาฝั่งไทย ยังรอรายงานความเสียหาย

สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU ยังไม่มีแถลงการณ์ใดต่อปฏิบัติการครั้งนี้ของกองทัพเมียนมา เนื่องจากยังมีปฏิบัติการสู้รบ และไม่มีสัญญาณการสื่อสาร แต่นอกจากการเข้ายึดฐานทหารเมียนมา เมื่อวานนี้ กองทัพเมียนมา เตรียมการที่จะเปิดปฏิบัติการทางอากาศ มาก่อนหน้านี้ 1-2 สัปดาห์แล้ว หลัง KNU มีท่าทีสนับสนุนและพร้อมให้ความคุ้มครองประชาชนชาวเมียนมาที่ต้องหนีภัยการปราบปรามจากคณะรัฐประหาร และพร้อมเปิดปฏิบัติการสู้รบ กับทางทหารเมียนมา ที่เข้าประชิดในพื้นที่กองพล 5 ของ KNU ซึ่งถือเป็นการสู้รบครั้งใหม่ของ KNU กับกองทัพเมียนมา หลังลงนามหยุดยิงทั่วประเทศหรือ NCA ในปี 2018

และเป็นการสู้รบที่ทำให้มีผู้อพยพมายังไทยครั้งนี้ ก็เป็นจำนวนมากในรอบ 40 ปี นับตั้งแต่มีการหนีภัยการสู้รบของชาวเมียนมา จนต้องมีการตั้งพื้นที่พักพิงชั่วคราวที่ชายแดนไทย รองรับผู้หนีภัยการสู้รบจำนวนเกือบ 3 แสนคนในเวลานั้น และลดลงในปัจจุบันเหลือประมาณ 9 หมื่นคน ซึ่งนี่คือภาพของค่ายผู้อพยพอีตู่ท่า รัฐกะเหรี่ยง ที่ข่าว 3 มิติเคยเดินทางไปเมื่อ 4 ปีก่อน มีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ ประมาณ 2,300 คน และล่าสุดเป็นกลุ่มที่อพยพมายังริมน้ำสาละวินในฝั่งไทย นักวิชาการไทย จึงเป็นห่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร และเห็นว่ารัฐบาลไทย ต้องแสดงท่าทีต่อการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วนต่อผู้อพยพที่มาถึงชายแดนไทยแล้ว

ซึ่งนี่เป็นภาพของผู้อพยพที่อยู่บริเวณริมน้ำสาละวินของไทย เป็นชาวบ้านที่อยู่ตามหมู่บ้าน และเป็นผู้พลัดถิ่นในประเทศเดิม ที่ต่างหอบหิ้วข้าวของมาได้เพียงเล็กน้อย มีทั้งเด็ก ผู้หญิง คนป่วย ผู้สูงอายุ ที่ต้องห้ามใส่เปลข้ามแม่น้ำมาอย่างเร่งด่วน มีเพียงผ้าเต้น เสื่อเพียงเล็กน้อย และหม้อหุงอาหารบางส่วน และคงต้องอยู่ที่นี่จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ซึ่งในส่วนของไทย นายสิทธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า การดำเนินการอยู่ในความรับผิดชอบของทหาร ที่ตั้งจุดแรกรับ หากปลอดภัยก็ต้องผลักดันกลับตามกฏหมายเข้าเมือง หรือหากต้องดำเนินการอย่างไรต้องรอฟังนโยบายจากรัฐบาล