อาชญากรรม

‘ครูยุ่น’ โต้ทำร้ายเด็ก รับตีจริงแต่แค่สั่งสอน ด้านผู้ปกครองขอรับเด็กกลับ แฉหลานถูกสั่งให้ทำงานเหมือนคนใช้

โดย petchpawee_k

4 พ.ย. 2565

33 views

ครูยุ่น เปิดใจ ปฏิเสธข้อหา ทำร้ายร่างกายเด็ก ยอมรับตีเด็กจริง เจตนาสั่งสอน แต่เป็นการลงโทษที่เด็กลงไปเล่นน้ำ มีบางคนว่ายน้ำไม่เป็น รู้ว่าเด็กถ่ายคลิปแต่ไม่โกรธ ปัดเอาเสื้อเด็กคลุกอุจจาระ-ไม่เคยใช้แรงงานที่รีสอร์ต ยันเดินหน้าทำมูลนิธิต่อ และยินยอมหากเด็กสมัครใจจะย้ายไปอยู่ในความดูแลของพม.


ความคืบหน้าเรื่องของเด็กมูลนิธิคุ้มครองเด็กร้องเรียน ถูกครูในมูลนิธิ ทำร้ายร่างกาย และมีการใช้ให้ไปทำงานในรีสอร์ท


นายมนตรี สินทวิชัย หรือ ครูยุ่น เลขามูลนิธิคุ้มครองเด็ก ก็เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.อัมพวา เพื่อรับทราบข้อหา ทำร้ายร่างกายเด็ก หลังมีเด็กในมูลนิธิออกมา เปิดเผยพฤติกรรมครูยุ่น ทำร้ายร่างกาย ตี และลงโทษอย่างรุนแรง


หลังจากให้ปากคำพนักงานสอบสวนนานกว่า 5 ชม. ครูยุ่น พร้อมด้วย นายแก้วสรร อติโพธิ  ประธานมูลนิธิ และทนายความ ร่วมกันแถลงข่าว


โดยครูยุ่น กล่าวว่า การรับทราบข้อกล่าวหานั้นก็มาตามหมายเรียก โดยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมชี้แจงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไป

เรื่องแรกเหตุการณ์ตีเด็กตามคลิปที่นำเสนอออกไป เด็กที่ถูกตี เป็นเด็กกลุ่มที่ต้องถูกทำโทษ ซึ่งเด็กในมูลนิธิ มีหลายประเภท กลุ่มแรกเป็นกลุ่มเกี่ยวข้องกับยาเสพติด กลุ่มที่สอง ฝ่าฝืนคำสั่งลงไปเล่นในแม่น้ำแม่กลอง โดยที่หนึ่งในนั้นว่ายน้ำไม่เป็นซึ่งเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต จึงเรียกมาลงโทษ

ส่วนเรื่องปัญหายาเสพติดก็ยอมรับว่าเด็กหนึ่งในแปดคนที่ร้องเรียน มีปัญหาเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและพยายามนำยาเสพติดมาเผยแพร่อยู่ในมูลนิธิ จึงต้องลงโทษด้วยการตี ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่สำหรับตน มองว่าเป็นการลงโทษเพื่อสั่งสอนไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายหรือทารุณกรรม


เด็กในมูลนิธิ จะเรียกตนว่าพ่อ การลงโทษด้วยการตีเป็นเหมือนพ่อสั่งสอนลูก การที่ถูกดำเนินคดีในข้อหานี้ก็ว่ากันไปตามพยานหลักฐานแต่หากมองถึงเจตนา ครูยุ่น ยืนยัน ว่าไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายเด็ก


ส่วนประเด็นการทำร้ายร่างกายเด็กทารุณกรรมและมีการทำลายข้าวของรวมไปถึงการนำปัสสาวะ- อุจจาระ ราดเสื้อผ้าเด็ก

ครูยุ่น ชี้แจงว่า ภาพเสื้อผ้าที่ถูกมากองอยู่ที่พื้นนั้น ยอมรับว่า เป็นคนรื้อเสื้อผ้าเด็กจริง แต่ไม่ได้นำอุจจาระและปัสสาวะ มาราดเสื้อผ้า ตามที่เด็กกล่าวหา แต่เป็นการรื้อออกมาให้เด็กซักผ้า เนื่องจากเด็กที่อาศัยอยู่ในมูนิธิไม่ชอบซักเสื้อผ้า จะนำเสื้อผ้าที่ใส่แล้วมาซุกในตู้เสื้อผ้าจนสกปรก ไม่เป็นระเบียบ จึงพยายามสั่งสอนเด็ก แต่เด็กก็ไม่ยอมทำตาม จึงต้องนำเสื้อผ้าทั้งหมดออกมากองที่พื้น เพื่อให้เด็กซักผ้า


การที่เด็กทำแบบนี้ เนื่องจากเด็กในมูลนิธิมองว่า การที่ไม่ซักเสื้อผ้านั้นไม่จำเป็นต้องซัก เพื่อที่จะรอเสื้อผ้าใหม่ จากผู้นำมาบริจาค เป็นความคิดที่ผิด จึงต้องสั่งสอนด้วยการนำเสื้อผ้าออกมาจากตู้ล็อกเกอร์เพื่อให้ซักและนำไปพับให้เป็นให้เป็นระเบียบ  


ขอยืนยันว่าจากพฤติกรรมต่างๆที่เด็กกล่าวหาครูยุ่น ยืนยัน ว่าไม่ได้ก่อเหตุความรุนแรง ตามที่เด็กกล่าวหา ตนดูแลมูนิธิและเด็กลักษณะแบบนี้มานาน อาจจะเป็นคนพูดไม่เพราะและสนิทกับเด็กบางคนมายาวนานจึงมีการใช้คำพูดที่ไม่สุภาพกับเด็ก แต่ยืนยันว่าทั้งหมดไม่ได้เป็นเจตนาในการที่จะทำร้ายทารุณกรรมหรือหากินกับเด็ก

ส่วนการใช้แรงงานเด็กในรีสอร์ทซึ่งมีความสุ่มเสี่ยงผิด พรบ.การใช้แรงงานเด็ก

ครูยุ่น ชี้แจง ว่าการที่นำเด็กไปใช้งานในรีสอร์ทนั้นไม่ได้เป็นการให้ค่าจ้างหรือบังคับเด็ก แต่เด็กในมูนิธิเต็มใจที่จะไปช่วยงานและบางคนก็ไปเล่นไปช่วยงานเล็กๆน้อยๆ ไม่ได้ทำทั้งวัน ไม่ได้ทำทุกวันและไม่มีการจำกัดเวลา เป็นความสมัครใจของเด็กในการไปช่วยเปรียบเหมือนการช่วยผู้ปกครองทำงานบ้าน


ไม่ได้มีการจ้างงานหรือบังคับใดใดทั้งสิ้น จึงมองว่าเรื่องการใช้แรงงานนี้ไม่ได้เข้าข่ายความผิดและตอนนี้พนักงานสอบสวนก็ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหานี้


ซึ่งภายในรีสอร์ทก็มีตนและภรรยาเป็นคนดูแล เป็นธุรกิจครอบครัว ไม่ได้เป็นการจ้างงานเหมือนพนักงานในบริษัท เด็กที่เข้ามาช่วย บางคนก็เต็มใจบางคนก็ไม่เต็มใจเพียงแค่ต้องการมาเล่น จึงทำให้มีการร้องเรียนเรื่องนี้


ส่วนประเด็นเงินบริจาคที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า การเปิดมูลนิธิแห่งนี้อาจจะใช้เด็กมาหากิน ครูยุ่น ชี้แจง ว่าเงินบริจาคทุกบาททุกสตางค์ของมูนิธินั้นมีคณะกรรมการตรวจสอบบัญชีทุกเดือน โดยนายแก้วสรรเป็นประธานในการตรวจสอบซึ่งเงินที่ได้มาทั้งหมดนั้นก็จะมีการทำรายงานต่อภาครัฐ ให้รับทราบทุกปี ส่วนเรื่องเงินไปโรงเรียนของเด็กที่มีการตัดเงินค่าขนมทำให้เด็กหลายคนออกมาร้องเรียนว่าได้รับเงินไปโรงเรียนไม่เพียงพอ  


ครูยุ่นชี้แจงว่า เด็กบางคนรายได้ไปโรงเรียนไม่เท่ากัน เนื่องจากว่ามีการหักเงินในการลงโทษหลังจากที่ไม่ยอมทำงานและทำตามกฎระเบียบของมูลนิธิ จึงลงโทษด้วยการหักเงิน แต่จำนวนเงินที่หักนั้นเริ่มต้นที่ 5 บาทถึง 10 บาท เท่านั้น เงินที่หัก ก็ไม่ได้เข้ากระเป๋าตนเอง นำเงินส่วนที่หักนี้ไปให้กับเด็กคนที่ทำงาน


ส่วนเรื่องใบอนุญาตการจัดตั้งสถานสงเคราะห์เด็ก ฉบับปัจจุบันจะหมดอายุในช่วงเดือนมกราคม 2566 หากภาครัฐไม่พิจารณาต่อใบอนุญาตก็จำใจต้องปิดสถานสงเคราะห์ลง  


แต่มูลนิธิคุ้มครองเด็กยังสามารถดำเนินการต่อได้ เพราะเป็นคนละส่วนกัน ส่วนเด็กที่อยู่ในความดูแล ผู้ที่สมัครใจอยู่ในความดูแลต่อกับมูลนิธิก็สามารถอยู่ได้เช่นกัน แต่หากเด็กและเยาวชนคนใดสมัครใจที่จะไปอยู่ในสถานสงเคราะห์แห่งอื่นก็ยินยอมให้เด็กไป ยืนยัน ไม่มีการจำกัดอิสรภาพ

---------------------------------------------------------

พม. พาเด็กเข้าคุ้มครองรวม  29 คน หลังคัดแยกออกจากมูลนิธิ ระบุเด็กสมัครใจย้ายออก ไม่มีการแย่งเด็ก

ในส่วนของ นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการช่วยเหลือเด็กในสถานสงเคราะห์เอกชนแห่งหนึ่งที่จังหวัดสมุทรสงคราม ว่า หลังจากทีม One Home พม. จังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมด้วยทีมสหวิชาชีพ ได้คัดแยกเด็ก 8 คนแรก แล้วนำออกมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวนและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  

ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นสถานสงเคราะห์ดังกล่าว กระทรวง พม. โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ได้แก่ นักสังคมสงเคราะห์จากบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรสงคราม สมุทรปราการ สมุทรสาคร และราชบุรี ได้ร่วมกันคัดแยกเด็ก 21 คน และช่วยนำออกมาด้วยความสมัครใจ ซึ่งขณะนี้ มีเด็กรวมทั้งสิ้น 29 คน อายุระหว่าง 1 - 20 ปี อยู่ในความคุ้มครองสวัสดิภาพของกระทรวง พม.


นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเด็กอีกกว่า 20 คน ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจออกจากสถานสงเคราะห์ดังกล่าว ทีมสหวิชาชีพจะประชุมหาแนวทางร่วมกันเพื่อเข้าไปช่วยเหลือเด็กโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ กระทรวง พม. ต้องนำเด็กทั้งหมดมาอยู่ในความคุ้มครองสวัสดิภาพตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546


ส่วนบรรยากาศ ที่มูลนิธิ วานนี้ เหลือเด็กอยู่กว่า 20 คน คนดูแลมูลนิธิ ให้ข้อมูลว่า ผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว เด็กบางคนก็ต้องหยุดเรียนเพราะกังวลความปลอดภัย และมีเด็กบางคน ที่เกิดอาการคิดถึงพี่ ที่ออกไปอยู่ในความดูแลของพม. เนื่องจากเด็กๆทุกคนสนิทกัน รุ่นพี่ก็จะดูแลรุ่นน้อง

--------------------------------------------------------

ผู้ปกครองเด็ก ทยอยเดินทาง ตามหาบุตรหลานที่อยู่ในมูลนิธิ เพราะทางครอบครัวไม่ทราบว่าพาไปที่ใด


บ่ายวานนี้ (3 พ.ย.) ผู้ปกครองบางส่วน ทยอยเดินทางมาที่ สภ.อัมพวา ซึ่งจากการสอบถามต่างบอกว่า มาตามหาบุตรหลานที่อยู่ในมูลนิธิ เพราะเมื่อวานนี้ที่ทางเจ้าหน้าที่พาออกไป ทางครอบครัวไม่ทราบว่าพาไปที่ใด


ทีมข่าวได้พูดคุยกับพี่สาว และแม่ของเด็ก 2 คน ที่อาศัยอยู่ภายในมูลนิธิตั้งแต่เล็ก จนปัจจุบันอายุ 14 และ 16 ปี โดยทั้งคู่เองได้เดินทางไปที่มูลนิธิ ก็เจอน้องชายอายุ 16 ปี ก่อนจะเดินทางมา สภ.อัมพวา เพราะยังหาน้องอายุ 14 ปีไม่เจอ ตนเองไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน พอเดินทางมาที่สภ.ทางเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเองก็บอกว่าให้กลับไปก่อน และไม่ได้บอกรายละเอียด


ทั้งนี้ที่ผ่านมายอมรับว่าทางแม่ เคยติดต่อประสานเพื่อจะขอน้องทั้ง 2 คน กลับไปดูแลแต่ทางมูลนิธิ ให้เหตุผลว่าต้องรอให้เด็กบรรลุนิติภาวะ ตามเอกสารที่เซ็นต์ ไว้ตอนแรก ซึ่งในการบรรลุนิติภาวะ ตอนนั้นที่ทางแม่จำได้จะเป็นอายุประมาณ 15-16 ปี หรือให้น้องเรียนจบ ม.3 ก่อน


ที่ยอมรับว่าเด็กเองไม่ได้มีการร้องขอความช่วยเหลือ หรือพูดถึงการทำร้ายร่างกายมาก่อน เมื่อถามว่าได้คุยกับทางเด็ก สอบถามว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องจริงไหม เขาบอกว่ามีทั้งเรื่องจริง และเรื่องไม่จริง ในส่วนของการกดหัวลงน้ำนั้นเขาเองบอกไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ในเหตุการณ์ที่มีการถ่ายคลิปนั้นยอมรับว่าน้องชายอยู่ในเหตุการณ์จริง แต่ไม่ได้โดนทำโทษ

ส่วนเรื่องที่โดนทำโทษนั้น ทราบแค่ว่าเพื่อนเขาทำผิดกฎ เมื่อถามว่าทำไมน้องเองถึงไม่ได้ออกไป ก็ให้เหตุผลว่าเขาเองไม่ได้โดนทำร้าย สบายใจที่จะอยู่ พร้อมกันนี้ เด็กยอมรับว่ามีเรื่องของเด็กติดยาเสพติดก็มีจริง


ขณะที่ ทีมข่าวได้พูดคุยกับผู้ปกครองอีกราย ที่เดินทางมาที่ สภ.อัมพวา เพื่อตามหาน้องชาย และน้องสาว 2 คน ที่อาศัยอยู่ที่มูลนิธิ เพราะเมื่อทราบจากข่าว จึงอยากทราบว่าน้องทั้ง 2 คน อยู่ที่ไหน ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้เข้าไปที่มูลนิธิ เจอเพียงน้องชาย 1 คน ส่วนน้องสาว ทราบว่าได้ออกไปกับเจ้าหน้าที่ก่อนหน้านี้ ทำให้ตนไม่ทราบว่า น้องสาวถูกส่งไปดูแลที่ใด ส่วนตัวมองว่า การที่มีการนำเด็กออกไปแบบนี้ น่าจะมีการแจ้งผู้ปกครองเด็กก่อน เพราะเด็กหลายคน ก็มีผู้ปกครองมาเยี่ยมอยู่เป็นประจำ ทำให้รู้สึกเป็นห่วง


ส่วนกระแสข่าวที่ออกมานั้น จากการสอบถามฝั่งของน้องชาย ที่ตนเจอตัววันนี้ บอกกับตนว่า เลือกที่จะขออยู่กับทางมูลนิธิต่อ เพราะมองว่าครูคนดังมีพระคุณ และคอยดูแลมาตลอด  ซึ่งต่างจากน้องสาว ที่ขอออกจากมูลนิธิ และจากการสอบถามทำให้ทราบว่า น้องสาวอยากออกจากมูลนิธิมานานแล้ว แต่ออกไม่ได้ โดยน้องสาวอ้างกับตนเองว่า ที่ไม่สามารถออกไป เป็นเพราะเรื่องของหัวคิว หากอยากจะออกมา ก็ต้องหนีเท่านั้น

-------------------------------------------------------

ผู้ปกครอง ติดต่อขอรับเด็ก เผย ครูยุ่น ปฏิเสธไม่ให้กลับบ้านทั้งที่มีกำลังพร้อมดูแล แฉ หลานถูกนำไปทำงานเหมือนคนรับใช้ ต้องไปดูแลญาติครูป่วยเป็นโรคไต


ในช่วงค่ำ มีญาติของเด็กที่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิคุ้มครองเด็ก จังหวัดสมุทรสงคราม เดินทางมาจากจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อรับหลาน 3 คน กลับไปอยู่ในความดูแลของครอบครัว

ญาติของเด็ก เปิดเผยว่า ตนเองเป็นน้า เดินทางมารับหลาย 3 คน ซึ่งหลาน ทั้ง 3 คนนี้ แม่ของเด็กนำมาฝากไว้เมื่อเดือนมีนาคม 2563  

จากนั้นแม่ของเด็กก็ไปทำงานต่างประเทศ และติดต่อญาติไม่ได้ จนช่วงช่วงหลังติดต่อญาติได้ก็มอบอำนาจให้ตนในฐานะน้า มารับหลานไปดูแล แม้จะมีเอกสารครบ แต่ครูยุ่นก็ไม่ให้หลานออกจากมูลนิธิ และหากญาติเข้าไปในมูลนิธิก็จะโดนแจ้งข้อหาบุกรุก

โดยครูยุ่นมองว่า มีใบมอบอำนาจจากแม่ของเด็กไม่ได้ ตัวแม่เด็กต้องมารับเองเท่านั้น ซึ่งจากสถานการณ์โควิด ทำให้แม่ของเด็กเดินทางมาไม่ได้และมีกำหนดจะมารับ แต่พอทราบข่าวนี้ก็ถือโอกาสมารับหลาน

ญาติรายนี้ บอกว่า หลานมาอยู่ 3 คน ในแต่ละวันถูกใช้งาน ตั้งแต่ดูแลเด็กเล็กๆในมูลนิธิ เหมือนแม่ลูกอ่อนคนหนึ่ง ต้องตื่นมาชงนม ดูแลเด็กเล็ก ไม่ได้นอน นอกจากดูแลเด็กเล็กแล้ว

หลานยังอ้างว่า ถูกใช้ให้ไปดูแลญาติของครูยุ่นที่ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง  ซึ่งทางญาติสะท้อนความเห็นว่า  หากเป็นความจริงก็คิดว่า เด็กที่มาอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์ไม่ควรถูกใช้งานในลักษณะนี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมรับเด็กมาดูแล แต่ใช้งานเด็กแบบนี้

ซึ่งตนไม่รู้ว่าหลาน โดนตีแบบในคลิปหรือไม่ การที่ครูยุ่นตีเด็กแบบนั้น ตนรับไม่ได้ แม้จะบอกว่าเป็นการสั่งสอนเพราะเด็กดื้อ ซึ่งการลงโทษเด็กมีหลายวิธีไม่ใช่แค่การตี หากครูยุ่น มองว่าเด็กๆที่อยู่ล้วนแต่มีแผลในใจ แล้วทำไมถึงไปซ้ำเติมเด็กอีก  ซึ่งเด็กเหล่านี้มองว่ามูลนิธิคือแสงสว่างทางสุดท้ายของเขา แต่ความเป็นจริงไม่ใช่

--------------------------------------------------------

ในส่วนของคดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจเเห่งชาติ  เดินทาง มาร่วมประชุมกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม และเจ้าหน้าที่จากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ ตำรวจ เพื่อหาทางช่วยเหลือเด็ก


ส่วนการ ดำเนินคดี ขณะนี้ดำเนินคดีกับนายมนตรี หรือครูยุ่น เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก สองข้อหาคือความผิดทำร้ายร่างกายและความผิดต่อ พ.ร.บ แรงงาน ซึ่งทราบว่าทางครูยุ่นให้การปฏิเสธแต่ในกระบวนการดำเนินคดีตามกระบวนการกล่าวหาพนักงานสอบสวนจะยึดตามพยานหลักฐานและตัวเด็กและคำให้การจากเด็กที่ถูกกระทำ


จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเด็กบางคนมีร่องรอยบาดแผลที่สันนิษฐานได้ว่าเกิดจากการถูกทำร้ายร่างกาย ส่วนประเด็นเรื่องยาเสพติดที่มีคำกล่าวอ้างจากครูยุ่น ว่ามีเด็กบางคนยุ่งเกี่ยวเสพยาเสพติดเจ้าหน้าที่ อยู่ระหว่างรอผลตรวจสารเสพติดในร่างกาย  


รวมทั้ง ตรวจสอบพยานหลักฐานอยู่ระหว่างตรวจวิเคราะห์พยานหลักฐานที่ได้มาจากการเข้าตรวจค้นและเก็บวัตถุพยานต่างๆจากมูลนิธิ รวมถึงตรวจภาพเหตุการณ์ต่างๆที่ถูกบันทึกเอาไว้ในกล้องวงจรปิด


ส่วนประเด็นการใช้แรงงานเด็ก พล.ต.อ สุรเชษฐ์ ยืนยัน ว่าไม่สามารถใช้แรงงานเด็กได้แม้เด็กจะเต็มใจไม่เต็มใจ เป็นความผิด ตาม พรบแรงงานและคุ้มครองเด็กไม่สามารถใช้เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ทำงานหรือใช้แรงงานได้  


ประเด็นนี้ ครูยุ่นอ้างว่าเด็กขอติดตามไปช่วยงานในลักษณะช่วยทำงานในครอบครัว ก็เป็นข้อกล่าวอ้างของครูยุ่น ทั้งหมดตำรวจจะให้น้ำหนักจากเด็ก เป็นสำคัญ และหลักฐานอื่นๆประกอบ


ส่วนเด็กที่ยังอยู่ในความดูแลของมูลนิธิ จะต้องเข้าสู่ขั้นตอนการสอบสวน โดย นักจิตวิทยา สหวิชาชีพ และผู้เกี่ยวข้อง จะนำเด็กมาสอบปากคำเมื่อพร้อม ซึ่งครูยุ่นจะต้องให้ความร่วมมือให้สหวิชาชีพได้สอบปากคำเด็กทุกคน เพราะบางคนอยากจะพูดแต่กก็กลัวเรื่องนี้ต้อองใช้เวลา


ซึ่งหากสอบปากคำแล้วเด็ก สมัครใจ ที่จะย้ายออกจากมูลนิธิ ก็ต้องหาสถานที่ให้เด็กใหม่ แต่หากใครที่สมัครใจอยู่ต่อก็เป็นสิทธิ์ของเด็กที่สามารถทำได้


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/08wn1J3O3pM

คุณอาจสนใจ

Related News