กองทัพเมียนมาจัดพิธีสวนสนามเนื่องในวันสหภาพ (Union Day) ปีที่ 74 ขณะที่นายพลอาวุโส มิน อ่อง หล่าย มีคำสั่งปล่อยตัวและลดโทษให้กับนักโทษทั้งชาวเมียนมาและต่างชาติ รวมกว่า 2 หมื่น 3 พันคน ขณะที่วันนี้ชาวเมียนมาในหลายเมืองยังคงออกมาชุมนุมประท้วงการทำรัฐประหาร 

ในช่วงเช้าวันนี้ (12 ก.พ.) กองทัพเมียนมา ทำพิธีชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาเนื่องในวันสหภาพ ปีที่ 74 เพื่อรำลึกถึงข้อตกลงปางโหลง ข้อตกลงที่ลงนามกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มต่างๆ เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ปี 1947 เพื่อจัดตั้งระบบสหพันธรัฐ ให้สิทธิกลุ่มชาติพันธุ์และเสรีภาพในการนับถือศาสนา 

นอกจากนี้ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมา มีคำสั่งปล่อยตัวและลดโทษให้กับนักโทษ จำนวนมากกว่า 2 หมื่น 3 พันคน โดยเป็นชาวเมียนมา 2 หมื่น 3 พัน 314 คน และนักโทษต่างชาติ 55 คน โดยบรรยากาศที่หน้าเรือนจำ มีครอบครัวของนักโทษมาคอยต้อนรับกันอย่างล้นหลาม 

ทั้งนี้ สำหรับนักโทษที่ได้รับการตัดสินให้ประหารชีวิต ได้ลดโทษเป็นการจำคุกตลอดชีวิตแทนการอภัยโทษนักโทษครั้งนี้ มีขึ้นในขณะที่เมียนมากำลังฟื้นฟูประชาธิปไตย เสริมสร้างสันติภาพ เดินหน้าพัฒนาและสร้างระเบียบวินัยของชาติ 

และเมื่อวานนี้ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้ออกแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์อีกครั้ง เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐทุกคนกลับไปทำหน้าที่กันตามปกติ โดยระบุเหตุผลว่า เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน รวมถึงห้ามประชาชนออกมารวมกัน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19

แม้จะมีคำสั่งห้าม แต่ในวันนี้ ก็ยังมีประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงกันในหลายเมือง โดยที่นครย่างกุ้ง ผู้ชุมนุมพากันเดินถือป้ายไปตามท้องถนนพร้อมแสดงสัญลักษณ์ทางการเมือง และยังมีกลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวประท้วงที่ด้านหน้าสถานเอกอัคราชทูตจีนในย่างกุ้ง เนื่องจากจีนไม่ออกมาประณามการทำรัฐประหารของกองทัพ 

ส่วนที่เมืองมัณฑะเลย์ ผู้ชุมนุมที่เป็นพระสงฆ์ ก็ออกมาชุมนุมเรียกร้องให้กองทัพคืนอำนาจให้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รวมถึงปล่อยตัวนางอองซานซูจี, ประธานาธิบดี วิน มินต์ และนักการเมืองคนอื่น ๆ 

ขณะที่สื่อสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่ อย่างเฟซบุ๊ก ออกมาบอกว่าจะดำเนินการลดการมองเห็นข้อมูลที่เป็นของกองทัพเมียนมา เพื่อป้องกันข้อมูลเท็จ โดยทางเฟซบุ๊กระบุว่าหลังจากที่กองทัพทำการรัฐประหารตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็มีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จออกมาอย่างแพร่หลาย ซึ่งทางเฟซบุ๊กย้ำว่าไม่ใช่การระงับแต่ลดจำนวนผู้คนที่เข้าถึงข้อมูล 

ด้านสถานการณ์ชุมนุมในไทยต่อท่าทีของสหรัฐ กรณีเว็บไซต์ทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ รายงานเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ ถึงถ้อยแถลงของโฆษกของ นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของนาย โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯว่า นายซัลลิแวนได้สนทนาทางโทรศัพท์กับ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือสมช. มีความกังวลเรื่องการจับกุมผู้ประท้วงในไทย การตัดสินจำคุกเป็นเวลานานต่อผู้กระทำความผิด ม.112 นั้น นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ กล่าวว่า เป็นความข้าใจคลาดเคลื่อนในการออกข่าว แต่เป็นการพูดคุยสถานการณ์ทั่วไปในไทย ที่หวังว่า จะไม่มีความวุ่นวาย รุนแรง และบานปลาย

ล่าสุด ทางองค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือ แอมเนสตี้ รายงานว่า หลังจากการตรวจสอบหลักฐานและภาพถ่ายในวันสลายการชุมนุมที่กรุงเนปิดอว์ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเมียนมาใช้อาวุธจริงยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งนั่นทำให้หญิงสาววัย 19 ปี ที่ถูกยิงเข้าที่ศีรษะและบาดเจ็บสาหัส