ข่าวโซเชียล

'หมอสาว' เปิดเพจพักก้อน เล่าประสบการณ์ต่อสู้ 'มะเร็งต่อมน้ำเหลือง' เผยมุมมองเข้าใจคนไข้มากขึ้น

โดย passamon_a

1 มี.ค. 2566

880 views

หมอสาวเปิดเพจ แชร์มุมมอง เมื่อกลายเป็นคนไข้มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ในวัย 27 ปี เผยเข้าใจความลำบากมุมผู้ป่วยมากขึ้น มองเป็นมากกว่างานที่ต้องทำให้เสร็จ


เพจพักก้อน เพจเฟซบุ๊กของแพทย์ใช้ทุนตัวน้อยที่ชีวิตเปลี่ยนเพราะเจ้าก้อนน้อย ๆ ที่คอ ได้ออกมาแชร์ประสบการณ์ของคุณหมอที่กลายมาเป็นคนไข้มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่ง ที่ดุและโตเร็ว ในวัย 27 ปี ซึ่งเป็นคนที่ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวกลางคืน โดยระบุว่า วันนี้อยากมาเล่าเรื่องในมุมของหมอที่จับพลัดจับผลูเป็นคนไข้แบบงงๆ ให้ได้อ่านกันค่า


เดิมทีแล้วสำหรับเรามะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือ Lymphoma ก็เป็นแค่บทหนึ่งในตำราเรียนที่จำได้บ้างไม่ได้บ้าง เป็นคำวินิจฉัยหนึ่งของคนไข้ที่อยู่ในความดูแล (ซึ่งแผนการรักษาก็มาจาก Hematologist หรือ อายุรแพทย์โรคเลือดซะส่วนใหญ่) การเขียนออเดอร์ neutropenic diet (อาหารแบคทีเรียต่ำ), งดผลไม้เปลือกบาง ก็เป็นแค่ความเคยชินที่ทำให้สำหรับผู้ป่วยที่มารับเคมีบำบัด


จนวันหนึ่งคุณมะเร็งก็เข้ามาอยู่ในชีวิตเรา อยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 7 วัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน หายใจไปพร้อมกัน หลายคนอาจจะสงสัยว่าในฐานะหมอ พอเราป่วยซะเองจะมีความคิดความรู้สึกต่างจากคนไข้ทั่วไปยังไงกันนะ? สำหรับตัวเราเอง ไม่ต่างเลยค่ะ 555 ออกจะกังวลมากกว่าคนไข้ทั่วไปด้วยซ้ำ


ตลอดเวลา 6 เดือนที่ป่วยและรับยาเคมีบำบัดเต็มไปด้วยความกังวล เพราะเราเห็นมาตลอดว่าถ้าคนไข้มะเร็งได้ยาเคมีบำบัดแล้วติดเชื้อแทรกซ้อน อาการจะรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป เพราะฉะนั้นเวลาจะกินอะไร หรือจะทำกิจกรรมอะไร เรามักจะคิดภาพตัวเองนอนซมให้ยาฆ่าเชื้อใน ICU อยู่บ่อยๆ


ตอนยังทำงานอยู่เราก็ไม่ต่างกับหมอหลายคนที่อยู่เวรห้องฉุกเฉิน แล้วเจอคนไข้ที่มาด้วยภาวะที่ไม่ได้ฉุกเฉินจริง ในช่วง 6 เดือนนั้น คนไข้ที่มีคำนำหน้าว่าแพทย์หญิงคนนี้ได้เข้าห้องฉุกเฉิน 2 ครั้ง และไม่ใช่ภาวะฉุกเฉินที่อันตรายถึงแก่ชีวิตทั้งสองครั้ง ครั้งแรกที่บ้านพาไปส่ง เพราะเพลียมาก หน้ามืด วัดความดันได้ 60/30 (พอไปวัดที่ ER ปกติซะเฉยๆ) ส่วนอีกครั้งคือท้องเสีย ปวดท้อง pain score 10/10 พอไปตรวจจริงก็ปกติดี เป็นแค่อาการลำไส้แปรปรวน และทั้งสองครั้งที่ไปห้องฉุกเฉินนั้นไม่มีเจตนาอื่นใด นอกจากกลัวตายเท่านั้นแหละ


การเป็นคนไข้ซะเองทำให้เราเข้าใจคนไข้มากขึ้น


- เข้าใจคนไข้ที่มาห้องฉุกเฉินตอนตีสาม เพราะท้องเสีย ปวดท้อง แค่โรคลำไส้อักเสบธรรมดาที่ไม่ฆ่าใคร แต่มันสามารถปวด pain score 10/10 ได้จริงๆ ไม่มีใครอยากเข้าห้องฉุกเฉินหรอกถ้าไม่กลัวตาย (ยกเว้นมาขอยาเดิมหรือขอใบรับรองแพทย์ตอนดึกๆ อันนั้นก็ยังไม่เข้าใจเหมือนเดิม)


- เข้าใจว่าผู้ป่วยมะเร็งทุกคนต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งและต้องการกำลังใจจากคนรอบข้างขนาดไหน การต่อสู้กับผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัด การต้องระวังตัวเองตลอดเวลาไม่ให้ป่วย แต่ละวันมันไม่เคยง่ายเลย


- เข้าใจว่าทุกคำสั่งการรักษาที่เขียนไปมันส่งผลกระทบกับชีวิตคนไข้จริงๆ หลายๆ อย่างมันง่ายกับคนเขียน แต่ลำบากคนทำ เคยไม่เข้าใจว่าทำไมคนไข้เบาหวานที่คุมน้ำตาลไม่ได้ถึงไม่ยอมฉีดยาอินซูลิน จนถึงวันที่ตัวเองโดนฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว (เข้าใต้ผิวหนังคล้ายอินซูลิน) ยังรู้สึกว่ามันเจ็บ และมันลำบากจริงๆ แหละ


แม้ว่าตอนนี้โรคจะสงบ กลับมาทำงานเป็นหมอเหมือนเดิมแล้ว สถานะคนไข้ก็ยังต้องติดตัวไปอีกหลายปี เพราะยังต้องเข้ารับการตรวจติดตามเป็นระยะ (แน่นอนว่าก็ยังกังวลเหมือนเดิมทุกครั้งแหละ)


เราผ่านอะไรมาเยอะมากจริงๆ ค่ะ ทั้งประสบการณ์ที่ผมค่อยๆ ร่วงเป็นกระจุกจนหมดหัว ปวดกระดูกจนนอนร้องไห้ กินอาหารแล้วไม่รู้รสชาติจนยอมแพ้ที่จะกิน อ่อนเพลียมากจนเดินได้วันนึงไม่กี่ก้าว พอมาคิดจริงๆ ก็ไม่ใช่เราคนเดียวหรอกที่เคยต้องผ่านเรื่องแบบนี้มา


เรารู้สึกว่าตัวเองในฐานะหมอก็มีความเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน เราเรียนรู้ที่จะมองคนไข้เป็นมากกว่างานที่ต้องทำให้เสร็จ มีหลายครั้งที่เราเลือกจะนั่งลงข้างเตียงคนไข้ที่เพิ่งรู้ว่าเป็นมะเร็งเพื่อพูดว่า "กินข้าวเยอะๆ นะคะ หมอรู้ว่ากินไม่อร่อยหรอก แต่ถ้าร่างกายเราแข็งแรง ผลการรักษาก็จะดีขึ้นนะ"


วันนี้มาเล่าซะยาวเลย มีใครอ่านจนจบบ้างไหมน้า ไว้ครั้งหน้าจะมาเล่าประสบการณ์การรับมือกับการสูญเสียผม หรือการใช้ชีวิตกับ picc line (เส้นให้ยาเคมีบำบัด) โดยไม่ติดเชื้อให้ฟังกันนะคะ ขอให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรง ไว้พบกันใหม่ค่ะ


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/Y7kXvHshX2Q

คุณอาจสนใจ