สังคม

ตร.ลงพื้นที่สอบคดีครอบครัวอำมหิต ขังทรมาน-วางยา พ่อแม่ ฮุบสมบัติ 100 ล้าน

โดย panwilai_c

13 ก.พ. 2566

757 views

จากกรณีเฮียหมูเศรษฐีวัย 67 ปี เดินหน้าร้องสื่อฯ และฟ้องร้องดำเนินคดีลูกชายพร้อมลูกสะใภ้และพ่อตา-แม่ยาย หลังเชื่อว่าทางฝั่งบ้านลูกสะใภ้วางแผนฆ่าตัวเองและภรรยา เพื่อฮุบสมบัติกว่า 100 ล้านบาท ด้วยการจับขังในห้องให้กินเพียงข้าวคลุกปลากระป๋องและใส่ยาพิษจนภรรยาตัวเองเสียชีวิต ส่วนเฮียหมูหนีออกมาได้ ซึ่งวันนี้ตำรวจจะนำกำลังเข้าค้นทั้งหมด 3 จุดหลักๆตามคำให้การของผู้เสียหาย



โดยเฮียหมู (นามสมมติ) เศรษฐีวัย 67 ปี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เรื่องราวทั้งหมดเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 ตัวเองจับได้ว่า ลูกสะใภ้ขโมยเงินจึงมีการต่อว่า จึงเชื่อว่าทำให้ลูกสะใภ้ไม่พอใจ เพราะหลังจากนั้นตัวเองและภรรยา มีอาการเปลี่ยนไป ลิ้นแข็ง ร่างกายอ่อนแรง จนภรรยา ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีสัญญาณว่าจะล้มป่วย เฮียหมูจึงพยายามติดต่อหาหลานสาวให้เข้ามาช่วยพาออกไปจากบ้านลูกสะไภ้ เพราะตอนนั้นเชื่อแล้วว่าถูกลูกสะใภ้วางยาพิษ



โดยติดต่อผ่านการเขียนจดหมายฝากไปกับบุรุษไปรษณีย์ เนื้อหาใจความในจดหมายระบุพิกัดบ้านของลูกสะใภ้ที่ตัวเองถูกขังอยู่และบอกช่วงเวลาที่ให้เข้ามาหลัง 9 โมง เพราะลูกชายและลูกสะใภ้จะออกไปขายของ ในจดหมายมีการบอกด้วยว่า ให้รีบเข้ามาช่วยถ้าถูกจับได้จะถูกทรมานอีก



เอียหมู บอกอีกว่า หลังจากหลานสาวเข้าไปช่วยเหลือพาเฮียหมูและภรรยาออกมาจากบ้านหลังแรกได้ ก็พาไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งในคืนเดียวกันทางลูกชายและลูกสะใภ้ไปเอาตัวทั้งคู่ออกจากโรงพยาบาลและไปขังไว้อีกจุดหนึ่ง โดยมีการปิดประตูหน้าต่างใช้สังกะสีตอกปิดอีกชั้น ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ตอนแรกก็ยังมีทีวีให้ดู แต่ช่วงหลังก็ยกทีวีออกไป ตรงหน้าต่างทำเป็นลูกกรง คล้ายห้องขัง มีเพียงช่องเล็กๆสี่เหลี่ยม สำหรับส่งถาดข้าว ถาดน้ำ



ซึ่งอาหารส่วนใหญ่ก็เป็นมาม่าและปลากระป๋อง น้ำดื่มเป็นน้ำที่กรอกมาจากน้ำประปา ส่วนข้าวของเครื่องใช้มีเพียงแค่ผ้า 1 ฝืน และหมอน 1 ใบ ถูกกักครั้งอยู่ในนั้น อาบน้ำ 3 เดือนละครั้ง ที่สำคัญภายในห้องไม่ได้มีห้องน้ำสำหรับทำธุระ ต้องใช้เก้าอี้ 4 ขา เอาถุงดำใส่เข้าไปแล้วนั่งขับถ่าย ทั้งอึและฉี่ หลังจากที่ทำธุระเสร็จก็จะมัดปากถุงและกองเอาไว้ในห้อง ซึ่งจะมีแม่บ้านใส่ชุดพีพีอี มาเก็บเดือนละ 1 ครั้ง บางทีก็กองเต็มห้องส่งกลิ่นคลุ้ง



-ตลอดที่ถูกขังอยู่ ช่วงปี 63 และก่อนปี 65 ลูกชายและลูกสะใภ้ รวมทั้งพ่อตาแม่ยาย จะมีการเอายาบางอย่างมาให้กิน ซึ่งเป็นลักษณะน้ำสีชมพู เป็นยาเหลว ใส่ในสลิ้ง 200 ซีวี บีบบังคับให้ตนเองและเมียกิน หากไม่ยอมกินก็จะผสมคลุกกับข้าวหรือขนมหวานให้กิน ซึ่งเฮียหมูจะสังเกตเห็นว่า ข้าวในจุดที่โดนยาพิษจะกลายเป็นสีดำ จึงไม่ยอมกิน



แต่สุดท้ายก็ถูกบีบบังคับ ใช้คีมบีบปาก และ ฉีดยาใส่ปาก บางครั้งตัวของแม่ยายก็จะเอาไฟฟ้าช็อต หรือตัวของลูกสะใภ้ก็จะใช้ไม้เบสบอลทุบตีเพื่อให้ตนเองและภรรยายอมกิน โดยตัวยาดังกล่าวหลังจากที่กินแล้ว จะสะลึมสะลือ ประกอบกับมือและขาตก ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ลักษณะอ่อนเพลียไปทั้งตัว บางทีหลับไป 2-3 วัน และหลังจากตื่นขึ้นมาจะพูดสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง คล้ายกับคนเป็นใบ้ พูดไม่มีเสียง เสมือนเป็นคนที่ไม่มีสติ หรือกลายเป็นคนบ้าหรือคนที่ไร้สติไปเลย



เฮียหมู เล่าอีกว่า จนกระทั่งช่วงต้นปี 65 ตัวของลูกชายและลูกสะใภ้ได้ทำห้องขึ้นมาใหม่ แต่เป็นห้องขนาดเล็กลง เพียง 2 คูณ 2 เมตร แต่ก็มีลักษณะสภาพห้องเหมือนเดิมไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน หน้าต่างทำเป็นกรง สำหรับส่งข้าวส่งน้ำ แต่ที่ทำขึ้น มีเพิ่มเป็น 2 ห้อง โดยแยกให้ตนเองอยู่ห้องหนึ่ง แล้วเอาภรรยาไปอยู่อีกห้องหนึ่ง



ซึ่งตนเองก็ได้แต่ตะโกนคุยกันกับภรรยา เพราะไม่สามารถที่จะอยู่ใกล้ชิดหรือคุยกันได้เหมือนเดิม จนทำให้ภรรยาของตนเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้า จนตายช่วงกลางปี 65 โดยไม่มีใครบอก ตนเองพึ่งมารู้ตอนที่หลังจากหนีออกมาได้ ทราบภายหลังลูกชายสารภาพว่าแม่ตายแล้ว และเอาแม่ไปทำพิธีให้เรียบร้อยแล้วไม่ต้องเป็นห่วง ตนเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่า เมียตนเองตายทั้งคนตนเองจะไม่มีสิทธิ์รับรู้อะไรเลย และเชื่อว่าที่ภรรยาเสียชีวิตมาจากการวางแผนฆ่าด้วยยาพิษของพ่อตาแม่ยายและลูกสะใภ้



และตลอดช่วงที่ถูกกักขังเอาไว้ ตนเองไม่มีมือถือ ไม่มีช่องทางไหนติดต่อกับใครได้ และที่สำคัญมือถือของตนเองก็มีแอพพลิเคชั่นแบงกิ้ง ที่สามารถโอนเงินได้ ทำให้ลูกชายโอนเงินออกจากบัญชีที่เก็บสะสมมาตลอดทั้งชีวิต หมดไปเกือบ 70 ล้านบาท และที่สำคัญลูกชายก็ฉวยโอกาสช่วงที่ตนเองไร้สติ ตอนที่ถูกบังคับให้กินยา ซึ่งมีการแอบปั๊มรอยนิ้วมือ แล้วมีการขายทรัพย์สินหรือที่ดิน เวลาใครถามหาเฮียหมู ลูกชายมักจะบอกว่า เฮียหมูเป็นโรคประสาท สติไม่สมประกอบ และสร้างภาพลง Facebook ว่าดูแลพ่อเป็นอย่างดี



กระทั่งช่วงปลายปี 65 ลูกชาย คงกลับใจและคิดได้ จึงพาพ่อหนีออกมาจากบ้านสะไภ้ที่ถูกขังไว้ พอตัวเองออกมาได้ เริ่มมีสติ ไม่ถูกวางยาพิษ จึงไปตรวจสอบทรัพย์สินรวมถึงเงินในธนาคารพบว่าถูกโอนไปกว่า 100 ล้านบาท จึงแต่งตั้งทนายความ เพื่อที่จะฟ้องเอาผิดทั้งหมดในข้อหาลักทรัพย์ , กักขังหน่วงเหนี่ยว และเพิกถอนเกี่ยวกับสิทธิ์การดูแลหรือรับมรดก



ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตัวเองยืนยันว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ต้องการดำเนินคดีให้ถึงที่สุด โดยเฉพาะพ่อตาแม่ยายและลูกสะใภ้ ส่วนลูกชายตัวเองพร้อมจะให้อภัยหากลูกชายกลับใจมาร่วมมือและช่วยเป็นพยานให้ตัวเอง



ด้าน พลตำรวจตรี นเรวิช สุคนธวิช ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา เดินทางมาที่ตำรวจภูธรเมืองฉะเชิงเทราเพื่อติดตามความคืบหน้าคดี พร้อมทั้งบอกว่า เรื่องนี้ความยากเพราะเป็นเรื่องภายในครอบครัว ซึ่งมีกฎหมายกำกับดูแลอยู่ การทำคดีจึงต้องมีความรอบคอบ แลเหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 63 ซึ่งต้องใช้ในหลักฐานวิทยาศาสตร์ในที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะกรณีการเสียชีวิตของภรรยาเฮียหมู ตอนนนั้นมีการเคลื่อนย้ายศพก่อนที่ตำรวจจะเดินทางไปถึง และหลังตำรวจลงพื้นที่และมีการเก็บหลักฐานตอนนั้นยังไม่พบหลักฐานบ่งชี้การฆาตกรรม เพราะได้รับแจ้งว่าเป็นการเสียชีวิตโดยการผูกคอตาย จึงต้องไปดูจุดที่ผูกคอว่ามีความเป็นไปได้ขนาดไหน



ส่วนภายในกะเพาะของผู้เสียชีวิตพบสารตกค้าง เป็นสารจำพวกในยารักษาโรคซึมเศร้าและคาเฟอีน ซึ่งเฮียหมูเคยมาแจ้งความแล้ว 2 ครั้ง แต่ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ ส่วนวันนี้จะมีการสอบปากคำเฮียหมูเพิ่มเติม เพื่อยืนยันชี้จุดและสถานที่ที่อ้างว่าเกิดเหตุ โดยตำรวจจะขออำนาจศาลเข้าทำการตรวจค้น หลักๆ 3 จุด คือบ้านเฮียหมู และอีก 2 จุด คือบ้านของพ่อตาและแม่ยาย ในพื้นที่ อ.เมือง ซึ่งต้องขอศาลออกหมายค้น



สำหรับการสอบปากคำตอนนี้ตำรวจสอบปากคำไปแล้วกว่า 10 บาทส่วนใหญ่เป็นพยานบุคคลทางฝั่งของเฮียหมู ส่วนตัวลูกชายและฝั่งบ้านลูกสะไภ จากการสืบสวนพบว่า ไม่ได้อยู่ในพื้นที่แล้ว มีทั้งอยู่ไทยและต่างประเทศ แต่อาจจะออกไปท่องเที่ยวก็ได้ ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายเรียกมาสอบปากคำ และเอกสารที่ระบุว่า เฮียหมูมีอาการจิตเวช เป็นการวิเคราะห์อาการหลังจากที่เฮียหมูถูกนำตัวไปกักขัง



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/tj9TN7MsuCA

คุณอาจสนใจ

Related News