สังคม

'เฮียหมู' ให้ปากคำ ถูกกักขังโดนฮุบสมบัติ พร้อมให้อภัยลูกชาย ถ้ากลับใจเป็นพยาน แต่ไม่ให้อภัยฝั่งลูกสะใภ้

โดย nattachat_c

14 ก.พ. 2566

77 views

คืบหน้าคดีเฮียหมู ตำรวจนำกำลังเข้าค้น 3 จุดต้องสงสัย ไม่พบตัวเจ้าของบ้าน ขณะที่ผู้การ ชี้มีหลักฐานเอาผิดคดีกักขัง พร้อมเชิญตัวผู้เกี่ยวข้องสอบปากคำ หากไม่มาเตรียมขออนุมัติหมายจับทันที ส่วนคดีภรรยาเฮียหมู ยังไม่พบหลักฐานฆาตกรรม แต่พบสารตกค้างในกระเพาะอาหารหลังเสียชีวิต


กรณี เศรษฐีวัย 67 ปี นักธุรกิจรับเหมาเดินสายไฟ เจ้าของร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า-ประปา ในเขต อำเภอบ้านโพธิ์ อ้างถูกลูกชายและลูกสะใภ้กักขัง และกรอกยาสลบหมูนาน 2 ปี จัดฉากให้เป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ ก่อนยื่นขอศาล ขอเป็นผู้จัดการมรดกแทนแม่ พร้อมโอนถ่ายทรัพย์สินไปรวมกว่า 100 ล้านบาท ส่วนภรรยาผูกคอดับคาห้องหลังถูกจับแยกห้อง ติดใจอาจโดนฆาตกรรม เดินหน้าฟ้องร้องดำเนินคดีลูกชาย ลูกสะใภ้ และพ่อตาแม่ยาย จนถึงที่สุด 


คืบหน้า วานนี้ (13 ก.พ. 66) เฮียหมู (นามสมมุติ) เดินทางไปที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม โดยนำหลักฐานเป็นสลิปการโอนเงิน ที่ลูกชายได้โอนเงินจากบัญชีพ่อเข้าบัญชีตัวเอง ไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย


สลิปดังกล่าว ลูกชายได้ทำธุรกรรมช่วง 30-31 ต.ค.2563 แต่ละวันโอนเงินหลายครั้งถี่ยิบ ครั้งละ 5 แสนบาท ภายหลังที่ลูกชายเฮียหมูยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลสั่งให้เฮียหมูเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน เมื่อ 10 ก.ค. 63 และศาลสั่งให้เฮียหมูเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ให้ลูกเป็นผู้จัดการทรัพย์สินเมื่อ 14 ก.ย. 63


พล.ต.ต.นเรวิช สุคนธวิท ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ฉะเชิงเทรา เปิดเผยว่า คดีนี้เฮียหมูเป็นผู้เสียหาย กล่าวหาบุตรที่เป็นลูกชาย เพราะเหตุทางความรุนแรงในครอบครัว ตำรวจจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการดำเนินคดี


เบื้องต้น เฮียหมูเป็นทั้งผู้เสียหาย บิดา และประจักษ์พยาน ทำให้ให้ในทางคดีรับฟังได้ ทั้งนี้มีการประชุมพนักงานสืบสวนสอบสวน ก็เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานตามที่เฮียหมูกล่าวหา และพิสูจน์ทราบความผิด หลังจากนั้นจะเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้การ หากเป็นไปตามที่กล่าวหา ก็จะต้องดำเนินคดี


ส่วนคดีที่ตำรวจจะต้องพิสูจน์ทราบอีก คือกรณีที่ภรรยาเฮียหมูเสียชีวิต อาจจะเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมหรือไม่ โดยจะใช้นิติวิทยาศาสตร์และการแพทย์เข้าพิสูจน์ทราบ เบื้องต้น การเสียชีวิตของภรรยาเฮียหมู เมื่อปี 63 พนักงานสอบสวนได้ทำสำนวนผลการชันสูตรพลิกศพไว้แล้ว โดยมีผลการตรวจพิสูจน์จากทางแพทย์ไว้โดยละเอียด ตำรวจจะแกะรอยจากผลดังกล่าว


จากการตรวจสอบผล พบว่า มีสิ่งตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ตำรวจสงสัย ก็จะต้องไปทำการตรวจพิสูจน์โดยนิติวิทยาศาสตร์ ส่วนสารตกค้างจะใช้ยาตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ ยังไม่สามารถตอบได้ จะต้องให้แพทย์ยืนยัน แต่ทราบว่าเป็นสารที่เกี่ยวกับยารักษาโรคซึมเศร้า และคาเฟอีน


ก่อนหน้านี้ เฮียหมูเคยมาแจ้งความ แต่ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เฮียหมูกล่าวอ้าง โดยให้กลับไปปรึกษาญาติพี่น้อง ก่อนจะกลับมาแจ้งความอีกครั้ง


ส่วนหลักฐานการโอนเงิน ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ฉะเชิงเทรา ยืนยันว่า มีหลักฐานอยู่ในสำนวน และเฮียหมูมีพยานหลักฐานเรื่องการโอนเงินด้วย เพราะนอกจากเฮียหมูจะดำเนินคดีทางอาญาแล้ว เฮียหมูยังดำเนินคดีทางแพ่งคู่ขนานไปด้วย โดยจะต้องสอบพยานแวดล้อมเพื่อชี้ให้เห็นมูลเหตุจูงใจ


ขณะที่การสอบปากคำ ภายในสัปดาห์นี้ พนักงานสอบสวนจะเรียกพยานฝั่งของเฮียหมูจำนวน 10 ปาก มาสอบปากคำ ส่วนพยานแวดล้อมอื่นๆ จะต้องนำข้อเท็จจริงมา เพื่อยืนยันและหักล้างต่อไป


ส่วนลูกชายเฮียหมู ยังไม่ได้เรียกมาสอบปากคำ เพราะขอรวบรวมพยานหลักฐานก่อน เนื่องจากเป็นการกล่าวอ้างของเฮียหมู หากพยานหลักฐานไม่ชัดเจน อาจจะทำให้เกิดความเสียหายของคดี ทั้งนี้ที่มีข้อมูลว่า ลูกชายและลูกสะใภ้ไม่ได้อยู่ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรานั้น ตำรวจทราบแล้วว่าไปอยู่ที่ใด ซึ่งอาจจะเป็นการท่องเทียวก็ได้ อาจจะไม่เกี่ยวกับคดี


เบื้องต้น ได้ให้ พฐ.เก็บหลักฐานทั้งหมดที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี นำไปตรวจสอบแล้ว ขั้นตอนหลังจากนี้ จะเชิญตัวลูกชาย ลูกสะใภ้ และพ่อแม่ของลูกสะใภ้ มาทำการสอบสวน


หากไม่มาแสดงตนก็จะต้องออกหมายเรียก หากไม่มาก็คงต้องขอศาลอนุมัติหมายจับต่อไปตามขั้นตอน ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครติดต่อเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติมแต่อย่างใด

---------------

จากนั้น พล.ต.ต.นเรวิช สุคนธวิท ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ฉะเชิงเทรา และ พฐ.นำหมายศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา เข้าค้นเก็บหลักฐานตรวจสอบสถานที่ ที่เฮียหมูให้การว่าถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว (บ้านพ่อตาแม่ยายพื้นที่ อ.เมือง ที่ใช้เป็นโรงผลิตและจำหน่ายน้ำดื่มและขายวัสดุก่อสร้าง) เพื่อเชื่อมโยงคดี และยืนยันจุดเกิดเหตุ


เนื่องจากพยานหลักฐานที่เฮียหมูกล่าวอ้าง เป็นพยานหลักฐานตอนปี 63 โดยตำรวจได้วางแผนการทำคดีว่าจะต้องเอาเรื่องนิติวิทยาศาสตร์ ผลทางการแพทย์เข้ามาพิสูจน์ เพื่อยืนยันในสิ่งที่เฮียหมูให้การ


เมื่อถึงหน้าบ้าน พบว่าบ้านปิดเงียบ ปิดประตูรั้ว พร้อมติดป้ายประกาศว่า “ไม่อนุญาตให้นักข่าวและบุคคลภายนอกเข้ามาบริเวณรั้วบ้าน” เมื่อตำรวจเรียกถามหาคนที่อยู่ด้านใน พบมีชาย 3 คน อยู่ภายในรั้วบ้าน คอยใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปตลอดเวลา โดยเมื่อขอเข้าตรวจค้นพบ ญาติของพ่อตาเผยว่าบ้านหลังดังกล่าวนี้ ตอนนี้ไม่มีคนอยู่


เจ้าหน้าที่ได้ใช้อำนาจศาลเข้าตรวจค้นกระจายกำลังตามจุดต่างๆ โดยมีเฮียหมูพาไปชี้จุด จุดแรกเป็นรถยนต์ เฟอร์จูเนอร์สีขาว ซึ่งเป็นรถของเฮียหมู ที่ใช้ก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ถูกโอนไปเป็นชื่อของลูกชายเป็นที่เรียบร้อย


จากนั้น เฮียหมูได้พาไปดูบริเวณด้านหลังบ้าน พบมีห้องที่สร้างใหม่อีก 2 ห้อง ซึ่งหนึ่งใน 2 ห้องนี้ เป็นห้องที่เฮียหมูถูกแยกกักขังในช่วงหลัง โดยบริเวณหลังบ้านมีเนื้อที่เป็นลานโล่งกว้างขวาง จึงทำให้ห่างจากความสนใจของเพื่อนบ้าน


จากนั้นเฮียหมู พาเดินเข้ามาภายในอาคารหลังดังกล่าว ซึ่งเป็นห้องนอนที่ใช้กักขังตนเองและภรรยา มานานกว่า 2 ปี เมื่อเฮียหมูเดินเข้าไป ก็ยืนยันกับตำรวจว่า ห้องดังกล่าวเป็นห้องที่ใช้กักขังตนเองและภรรยาจริง เนื่องจากจำสีฟ้าของผนัง นาฬิกาแขวน และฝ้าเพดานที่ตนเองปีนขึ้นไปเจาะรู เพื่อระบายอากาศ เนื่องจากห้องร้อนไม่มีลมถ่ายเท ตามที่ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนหน้านี้


แต่ตอนนี้มีความเปลี่ยนแปลง คือการเปลี่ยนลูกบิดประตูด้านหน้าห้องใหม่ และภายในห้องได้นำสายไฟจากร้านของตนเอามาไว้ภายในห้องนี้ ลักษณะเป็นเหมือนห้องเก็บของ


จากนั้น เฮียหมูพาเจ้าหน้าที่ พฐ. ออกไปนอกบ้าน ซึ่งเป็นอาคารปูนสีขาวแยกออกจากตัวบ้าน จุดนี้เฮียหมูเปิดเผยว่า เปิดจุดที่ตนเองถูกแยกกักขัง ภายในมีเนื้อที่ประมาณ 2X2 เมตร มีโถส้วมอยู่ด้านใน และบริเวณตะแกงเหล็กระบายอากาศ ถูกดัดแปลงตัดออกเป็นรูขนาดใหญ่ เพื่อไว้ใช้ส่งอาหารให้เฮียหมู


นอกจากนี้ ตามคำให้การของเฮียหมู เปิดเผยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ได้หยอดน้ำไว้ที่เหล็กดัด เพื่อให้เป็นสนิมผุกร่อน เพื่อจะได้หลบหนี จากการตรวจสอบก็พบคราบสนิมบริเวณตะแกงเหล็กจริง เจ้าหน้าที่ พฐ. ได้ถอดเหล็กออก เพื่อนำไปตรวจหาคราบรอยนิ้วมือของเฮียหมู ว่าอยู่ที่ห้องนี้จริงหรือไม่ และใช้โซเดียมในการตรวจสอบค้นหาคราบเกลือ ตามที่เฮียหมูกล่าวอ้าง นอกจากนี้ ชุดสืบสวนยังได้กระจายกำลังโดยรอบ ค้นหาเก็บหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดี


นอกจากนี้ พบชาย 3 คน บอกว่า ถูกว่าจ้างมาเฝ้าบ้าน คนละ 2 พันบาท หนึ่งในคนที่ถูกจ้าง เล่าว่า ตนเป็นวินมอเตอร์ไซค์ โดยช่วงเช้า 13 ก.พ. มีหญิงสาวเเละชายรายหนึ่ง มาหาที่วินมอเตอร์ไซค์ ว่าจ้างให้มาเฝ้าบ้านตั้งเเต่เช้าจนถึง 4 โมงเย็น ไม่ให้ใครเข้ามาในบ้าน


ซึ่งจ้างมาวันนี้วันเเรก ยังไม่ได้ค่าจ้างเลย ยืนยันไม่เคยรู้จักหญิงสาวเเละชายรายนี้เลย และไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเฮียหมู ทั้งนี้ คนที่ว่าจ้าง บอกให้ตนถ่ายคลิป และถ่ายภาพส่งรายงานให้ทราบเป็นระยะ

------------

ด้าน ‘เฮียหมู’ เปิดเผยหลังเข้าไปชี้สถานที่ ที่เจ้าตัวอ้างถูกกักขังในบ้านพ่อตาแม่ยาย และได้ชี้ห้องที่ภรรยาถูกขังก่อนจะผูกคอเสียชีวิต ยืนยันจำได้แม่นทุกอย่าง และยืนยันที่พูดทั้งหมดเป็นเรื่องจริง


ตนเองมีหลักฐานเรื่องการโอนเงินทั้งหมด ส่วนหลักฐานเรื่องการวางยา ให้ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการ แต่ตนเองจำทุกจุดที่ถูกกระทำได้ ทั้งนี้เฮียหมู ยังได้ฝากบอกถึงลูกชาย ให้กลับมารับผิดในสิ่งที่กระทำไว้ และฝากไปถึงครอบครัวของลูกสะใภ้ ให้สำนึกผิดได้แล้ว


“อยากบอกลูกชายว่า อยากให้มันมารับผิด มึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้แม่ตายแล้วให้คนอื่นเขาบงการมึงได้ยังไง หลงเมียได้ขนาดนี้เลยเหรอ เมียมันร้ายมาก บงการได้ทุกอย่าง อยากให้กลับมาช่วยเรา เราก็ให้อภัย มันก็มีลูก มันอาจจะหลงผิดไป ผมไม่เคยโกรธลูกหรอก เพราะมันคงหลงผิด แล้วไปอยู่ในดงเขาก็ทำอะไรไม่ได้”


เฮียหมู เผยอีกว่า “บอกพ่อตาแม่ยาย ให้มันสำนึกบ้าง ทำกับผมอย่างงี้ได้ยังไง คุณไม่เห็นเหรอผมเป็นคนไม่ใช่เป็นสัตว์ คุณเลี้ยงผมยิ่งกว่าสัตว์อีก” และยืนยันย้ำว่า การตายของเมียไม่มีอะไรในห้องนั้นเลย แล้วจะฆ่าตัวตายได้ยังไง จึงต้องการดำเนินคดีเพื่อที่จะต้องการให้ทราบว่าภรรยาตนเองเสียชีวิตอย่างไร” ยืนยันว่า สิ่งที่พูดเป็นเรื่องจริง ผมสาบานให้ตายได้เลย เพราะผมไม่กลัวตายแล้ว”


ขณะที่ น้องเขยของเฮียหมู (คนที่เฮียหมูหนีมาอาศัยด้วยปัจจุบัน) เผยว่า ตนทราบเรื่องตั้งแต่แรกว่าลูกชายและลูกสะใภ้ของเฮียหมู จะเอาทรัพย์สินทั้งหมด ทุกวันนี้เฮียหมูจะระบายความในใจตลอดว่าเมียตายนอนไม่หลับ เงินไม่มีใช้ ตอนนี้ตนเองเป็นคนดูแลเฮียหมูทั้งเรื่องที่อยู่ การกิน สิ่งที่ตนรับไม่ได้คือ “แม่ตายทั้งคนแต่ลูกนั่งอยู่บนกองเงินกองทอง”

------------

เฮียหมู ได้กล่าวว่า ผมไม่ได้บ้า ผมแกล้งบ้า เพื่อให้ทุกคนตายใจ แต่ความจริงผมจำได้หมด


เมื่อนักข่าวได้เอาภาพตอนเจ้าหน้าที่เก็บศพภรรยา เมื่อเฮียหมูเห็นห้องก็ร้องบอกว่าใช่เลย ห้องนี้แหละ 


ได้ยินเสียงภรรยาร้องเรียกใช้ช่วย 3 ครั้ง มารู้ที่หลังว่าภรรยาเสียชีวิตตอนที่ลูกสะใภ้ทะเลาะกับพ่อแม่ของตัวเอง และมารู้จากหลานว่า ย่าผูกคอตายที่บ้านหลังนี้ เชื่อว่าไม่มีทางผูกคอตาย เพราะได้สัญญากันว่าจะไม่มีใครตายที่บ้านหลังนี้

------------

ส่วนการเสียชีวิตของภรรยาเฮียหมู ทีมข่าวเดินทางไปที่วัดซึ่งจัดงานศพของภรรยาของเฮียหมู โดยทางเจ้าอาวาสไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ แต่ให้ข้อมูลยอมรับว่า มีการมาจัดงานสวดพระอภิธรรมศพ และฌาปนกิจที่วัดแห่งนี้จริง โดยก่อนวันที่จะนำร่างเข้ามาประกอบพิธีทางศาสนาที่วัด ญาติแจ้งเพียงว่าศพจะมาจากจังหวัดนครนายก


ขณะที่สัปเหร่อของวัด และทำพิธีให้กับภรรยาของเฮียหมู เล่าว่า ในวันที่ศพเข้ามาถึงวัด ทางวัดได้ประสานให้ตนเข้าไปทำพิธีนำศพลงโลง ในวันนั้นก็ไม่ทันได้สังเกต หรือ เห็นความผิดปกติของศพแต่อย่างใดโดยวันนั้นตนก็ทำพิธีมัดตราสังและนำร่างลงโลง สวดพระอภิธรรม 3 คืน สิ่งที่ผิดปกติคือ จัดงานค่อนข้างใหญ่โต ดอกไม้หน้าหีบศพมูลค่ากว่า 2 หมื่นบาท แต่มีคนมาร่วมงานเพียง 7 คน เลยคิดว่าน่าจะเป็นครอบครัวคนมีฐานะ


สัปเหร่อ บอกว่า ตนไม่ทราบว่าทั้งหมดที่มาร่วมงานเป็นใคร ทราบเพียงว่ามีลูกชายผู้ตาย และผู้หญิงอีกคนน่าจะเป็นลูกสะใภ้โดนลูกชายอ้างว่า ญาติติดโควิดอยู่ที่เชียงใหม่


เมื่อถามว่าวันที่สวดพระอภิธรรมหรือในวันเผา ญาติๆ ที่มาร่วมงานดูเศร้าไหม สัปเหร่อตอบว่าดูไม่เศร้า เสียใจ ก็เห็นเค้าเฉยๆ ไม่มีปฏิกิริยาอะไร และในวันเผาก็ไม่ได้เปิดโลงเป็นครั้งสุดท้าย

------------


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/StTBKx39Tmk


คุณอาจสนใจ

Related News