"ดร.อธิเทพ" ยันพระไตรปิฎก ไม่มีคำว่าการเชื่อมจิต ซัด "น้องไนซ์" อวดอุตริ

ดร.อธิเทพ ผาทา อาจารย์ประจำหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาพระไตรปิฎกศึกษา คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วังน้อย ให้ข้อมูลว่า กรณีมีผู้นำบทความของตนเอง ที่ลงไว้ในวันที่ 16 ธันวาคม 2566 นั้น ไปเผยแพร่ต่อ เป็นการนำบทความไปใช้บางส่วน เพราะความจริงบทความระบุชัดว่า

เป็นการพูดถึงการเข้าถึงสมาธิของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า “อาเนญชสมาธิ” ซึ่งเป็นการเข้าสมาธิในระดับเดียวกันของพระอรหันต์เท่านั้น ที่จะสามารถเข้าถึงสมาธิในระดับอาเนญชสมาธิได้ คนธรรมดาหรือแม้แต่พระอริยบุคคล ตั้งแต่อนาคามีจนถึงโสดาบัน อย่างเช่นพระอานนท์ ก็ไม่สามารถเข้าสู่สมาธิในระดับนี้ได้

การเข้าถึงสมาธิในระดับนี้ เป็นการเข้าถึงเพื่ออยู่ร่วมกันในระดับของพระอรหันต์ในระดับสมาธิเดียวกัน ในคัมภีร์ที่กล่าวถึงอาเนญชสมาธิ ไม่ได้ระบุว่าเป็นการเชื่อมจิต ไม่มีการใช้คำว่าเชื่อมจิต การที่มีผู้นำบทความไปใช้นั้น เป็นการนำไปใช้ไม่หมด นำไปใช้เพียงบางส่วน ทั้งที่ในบทความระบุชัด ว่าการสื่อสารกันทางจิตของพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์นั้น เรียกว่าอาเนญชสมาธิ ไม่ใช่การเชื่อมจิต

สิ่งที่ไม่ถูกต้องจากการอ่านบทความ ที่มีผู้นำไปลงนั้น เป็นการนำข้อความไปใช้ไม่หมด เพราะไม่ใช่การเชื่อมจิต ในส่วนที่มีผู้เอาบทความไปอ้างอิง ทำให้ผู้ที่รับสารจากเพจของผู้ที่นำไปลง มีความเข้าใจผิด ว่าในพระไตรปิฎก มีคำว่าการเชื่อมจิต แต่จริงๆแล้ว ไม่มีการเชื่อมจิต

หากไปดูในพระไตรปิฎก จะไม่มีคำว่าการเชื่อมจิตเลย มีแต่คำว่าอาเนญชสมาธิ ที่เป็นการสื่อสารระหว่างพระอรหันต์กับพระอรหันต์ คนทั่วไปไม่สามารถสื่อสารทางจิตด้านนี้ได้ ขนาดพระอานนท์ ยังไม่สามารถเข้าถึงการสื่อสารทางจิตในส่วนนี้

การสื่อสารของพระพุทธเจ้า เป็นการสื่อสารที่ใช้จิตสื่อจิต ไม่ใช่การพูดผ่านลำโพง หรือการใช้นิ้วไปจิ้มหน้าผากใคร

ในส่วนตัวนั้นมองคนที่แอบอ้าง ว่าสามารถเชื่อมจิตได้ ถือเป็นคนที่อุปโหลกตัวเอง เพราะคนธรรมดาไม่สามารถเชื่อมจิตได้ ดังนั้นคนที่มาพูดเรื่องการเชื่อมจิตหรือการฟอกจิต เป็นคำสอนที่อยู่นอกพระไตรปิฎก ไม่ใช่คำสอนในพระไตรปิฎก แต่ที่น่ากังวลคือ คนที่ศึกษาพระไตรปิฎก กลับเชื่อกลุ่มบุคคลดังกล่าว ทำให้เกิดความงมงาย แต่ถ้าคนที่ศึกษาพระไตรปิฎกอย่างแท้จริงจะเข้าใจแก่นแท้ของศาสนาศาสนา ว่าสมาธิระดับการสื่อสารทางจิต จะมีได้เฉพาะระดับพระอรหันต์เท่านั้น

กรณีของเด็กวัย 10 ขวบ ที่เป็นข่าวในขณะนี้ เป็นบุคคลธรรมดา หากจะอนุโลมว่าตัวเองเป็นธนาคามี ก็ไม่สามารถสื่อสารทางจิตได้ แต่หากอ้างว่าตนเองสื่อสารทางจิตหรือเชื่อมจิตได้ ก็เท่ากับว่าอวดอ้างว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ ถือเป็นการอวดอวดอุตริมนุสธรรม ไม่สามารถทำได้

ทั้งนี้อยากฝากถึงสังคม ว่าการจะเชื่ออะไรนั้น จะต้องเชื่อโดยการอ้างอิงหลักฐาน หลักฐานนั้นก็คือพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นแก่นคำสอนที่รวมไว้ของพระพุทธศาสนา สังคมไทยต้องมีสติ ไปงมงายแบบนี้ไม่ดี เพราะเราเป็นชาวพุทธ มีหลักที่จะต้องศึกษาคือพระไตรปิฎก

จากปัญหาที่เกิดขึ้น กรณีมีผู้แอบอ้างคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่ผิดเพี้ยนไปจากพระไตรปิฎกนั้น ควรจะมีหน่วยงานที่เข้ามาจัดการ หน่วยงานแรกคือคณะสงฆ์ เพราะที่ผ่านมาคณะสงฆ์ไม่ได้ออกมาพูดอะไร แต่ในความจริงคณะสงฆ์มีนักวิชาการที่มีมีความรู้อยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นคณะสงฆ์ที่มีความรู้ด้านพระไตรปิฎกควรออกมาพูดให้ความรู้กับประชาชน ส่วนหน่วยงานที่ 2 คือหน่วยงานด้านสนับสนุนพระพุทธศาสนา ได้แก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถ้ามีกรณีแบบนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต้องเข้ามาจัดการตรวจสอบ และต้องนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องให้กับสังคม และหน่วยงานที่ 3 ก็คือภาพรวมนโยบายของรัฐบาลจำเป็นต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการคุ้มครองพระพุทธศาสนาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ และสำคัญที่สุดอยากฝากถึงชาวพุทธ อย่าเชื่อเพียงเพราะได้ยินมา มีคนบอกมา แต่จงเชื่อด้วยการปฏิบัติและการศึกษาในคัมภีร์ไตรปิฎกให้ชัดเจน

กรณีการที่มีการนำชื่อของอาจารย์ ไปแอบอ้างในเพจของเด็กคนหนึ่งนั้น อยากฝากว่า การนำข้อความไปใช้และนำไปใช้ไม่หมดนั้น ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายขอฝากไว้ ใครก็ตามที่นำไปใช้โดยที่ไม่นำไปใช้ตรงตามที่เขียนไว้นั้น ถือว่ามีโทษนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อยากให้นำไปใช้ให้ครบและอ่านข้อความให้จบ มันจึงจะได้สาระ เกิดประโยชน์กับผู้คนไม่ใช่ตัดเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง ขณะนี้กำลังคิดอยู่ว่าจะดำเนินการทางกฎหมายหรือไม่

ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับศาสนาพุทธในขณะนี้ สะท้อนว่าหลักคำสอนของพุทธศาสนาและการศึกษาของคณะสงฆ์เข้าไม่ถึงคนทั่วไป เข้าไม่ถึงชาวบ้าน พระสงฆ์กับชาวบ้านเหินห่างกัน อีกประเด็นคือตัวชาวพุทธเอง ชอบอ้อนวอน ชอบขอโชคลาภ แต่เข้าไม่ถึงหลักการปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา เพราะการจะสำเร็จอะไร มันต้องลงมือทำ ต้องทำด้วยตัวเอง ต้องสร้างด้วยตัวเอง ไม่ใช้การอ้อนวอน