สังคม

‘ทนายอนันต์ชัย’ นำทีมแจ้งความกลุ่มลัทธิ ‘เชื่อมจิต’ เอาผิด พ.ร.บ.คอมฯ เรี่ยไร-ฉ้อโกง ซัดใช้เด็กเป็นเครื่องมือ

โดย petchpawee_k

14 พ.ค. 2567

35 views

กองทัพธรรม ผนึกกำลัง แจ้งความเอาผิดกลุ่มลัทธิเชื่อมจิต นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ พ.ร.บ.คอมฯ เรี่ยไรและฉ้อโกง พร้อมห่วงเด็กถูกดึงเป็นหุ่นเชิด  ด้านสำนักงานพระพุทธฯ ยันข้อกฎหมาย ไม่มีอำนาจตรวจสอบลัทธิเชื่อมจิต เตรียม ตั้งคณะทำงานตรวจสอบกลั่นกรองข้อมูลที่มีผลกระทบต่อศาสนา

วานนี้ (13 พ.ค.) ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม และ ดร.ประยุทธ ประเทศเสนา หรือ มหาหมี รองประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม พร้อมด้วย คุณต้นอ้อ มูลนิธิเป็นหนึ่ง , คุณอี้ แทนคุณ ตัวแทนผู้เสียหาย , ดร.อธิเทพ ผาทา , อ.รัก คำราม และ แพรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร ร่วมกันเดินทาง มาที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มลัทธิเชื่อมจิต 9 คน ได้แก่ นายพิชญะ ศูนยะคณิต นางสาวนัฐพร วงศ์ทวิชาติ นายคเณศ คณินวรพันธุ์ แอดมินใบเฟิร์น แอดมินนรินทร์ ทนายธรรมราช แอดมินสาว แอดมินเพจ หรือผู้ควบคุมเพจเฟซบุ๊ก นิรมิตเทวาจุติ ผู้ใช้บัญชีติ๊กตอก @niramittavajuti และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง ในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก, การเรี่ยไร และฉ้อโกง


โดย ทนายอนันต์ชัย เปิดเผยว่า มาในฐานะพุทธศาสนิกชนและเรื่องนี้เป็นภาระแห่งชาติ ซึ่งถึงเวลาแล้ว ที่ต้องเอาจริง เอาจังและเอาผิดอย่างเด็ดขาด กับกลุ่มลัทธิเชื่อมจิต ซึ่งมีการใช้เด็ก อายุ 8 ขวบเป็นเครื่องมือในการสร้างความเชื่อและสอนพระพุทธศาสนาแบบผิดๆ เช่น บิดเบือนคำสอนของพระพุทธศาสนาและพระไตรปิฎก , ยุยงส่งเสริมหรือยินยอมให้เด็กประพฤติไม่สมควร ประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด , นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 พบมีการนำเสนอบทความและคลิปวิดิโออันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ประมาณ 23 ครั้ง


ทนายอนันต์ชัย เปิดเผยอีกว่า เรื่องลัทธิเชื่อมจิต ตนเห็นมานานแล้วว่าไม่ถูกต้อง ซึ่งต้องยอมรับว่า คณะสงฆ์และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ บ้านเราอ่อนแอ ไม่มีการเทคแอคชั่นกับเรื่องนี้เท่าที่ควร ตนและคณะฯ จึงต้องออกมาเรียกร้องและเอาผิดกับบุคคลดังกล่าว


ทนายอนันต์ชัย ยังได้นำชาร์ท มาอธิบายเพิ่มเติม เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมวด 6 เรื่องแนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา 67 มา 5 ข้อ ล้วนแล้วแต่เป็นบททาทของรัฐและสำนักพุทธฯ ในการดูแลคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งหมายถึง สำนักพุทธฯ ในฐานะเป็นหน่วยงานแห่งรัฐ มีหน้าที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ 2560 ฉบับนี้ รวมถึง พรบ.คณะสงฆ์ มาตรา 15 ให้อำนาจพศ.ออกประกาศให้เสนอเรื่องมหาเถระสมาคม (หรือมส.) ตั้งกรรมการตรวจสอบได้ ขณะที่ สำนักพุทธฯก็มีกฎกระทรวงอยู่ว่า ต้องสนองภาระกิจคณะสงฆ์ ดังนั้นพศ.จึงมีอำนาจหน้าที่ทำเรื่องเชื่อมจิตได้


ส่วนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ 2546 มาตรา 4 "เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำความผิด" ซึ่งผู้ปกครองมีหน้าที่ตามหมวด 2 การปฏิบัติต่อเด็ก มาตรา 23 ผู้ปกครองต้องให้การอุปการะเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนและพัฒนาเด็กให้อยู่ในความปกครองดูแลของตนตามควรแก่ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมฯและมาตรา 26 ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ห้ามมีให้กระทำการดังต่อไปนี้ คือ บังคับข่มขู่ชักจูงส่งเสริมหรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทำให้เด็กประพฤติเสียงต่อการกระทำผิด-มาตรา 27 เกี่ยวกับการโฆษณาหรือการเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศประเภทใด โดยเจตนาแสวงหาผลประโยชน์จากการเรี่ยไรรับบริจาคฯ


ทั้งนี้ ทนายอนันต์ชัย ยังพูดถึงเกี่ยวกับพฤติกรรมการเชื่อมจิตของกลุ่มลัทธินี้ ว่า มีการอ้างถึงลำแสง ที่ได้จากองค์ศากยมุนี และมาปล่อยลำแสงผ่านฝ่ามือพลังเต่านินจาใดๆ ก็ตามแต่ เป็นการสร้างอภินิหารจากคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ สร้างเพื่อจุดประสงค์ลาภสักการะ ซึ่งอนาคตหากปล่อยละเลยเรื่องนี้อาจจะมีการบริจาคได้เงินถึงร้อยล้าน พันล้านบาทก็เป็นได้


ทนายอนันต์ชัย ยังฝากถึงกลุ่มลัทธิดังกล่าวและฝากถึงทนายบางคน ให้ฟ้องตนได้เลย จะได้ชี้แจงแถลงไขต่อศาลถึงความผิดต่างๆของกลุ่มลัทธินี้


ด้านคุณแพรรี่ กล่าวว่า ตัดสินใจมาร่วมด้วย ในฐานะเป็นพุทธบริษัทจึงอยากปกป้องพระพุทธศาสนา ไม่ให้คำสอนบิดเบือนไป


คุณอี้ แทนคุณ กล่าวว่า ในฐานะที่ได้รับเรื่องร้องทุกข์จากผู้เสียหาย ที่เป็นอดีตสาวกลัทธิดังกล่าว ที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมสมาธิเชื่อมจิต ให้ข้อมูลว่า ตอนนั้นก็หลงเชื่อว่า การนั่งสมาธิแบบดังกล่าวจะสามารถบรรลุธรรมได้ ต่อมาเริ่มเห็นวิธีการแปลกๆ เช่น เด็ก 8 ขวบใช้นิ้วแตะหน้าผากและบอกว่า เป็นการเชื่อมจิต และ เห็นถึงคำสอนบางคำสอนที่ไม่ตรงตามหลักพระพุทธศาสนาที่เคยเรียนมา ซึ่งภายหลังก็นำมาด้วยลาภสักการะ ซึ่งทำให้เสียเงิน ในการรับบริจาคซื้อที่ดินสร้างสถานปฏิบัติธรรม ทางอดีตสาวกกลุ่มลัทธิฯ ดังกล่าวจึงออกมาขอความช่วยเหลือ


ขณะที่นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า ในหลักข้อกฎหมายอำนาจหน้าที่สำนักพุทธฯ ดูแลได้เฉพาะพระภิกษุ และสามเณร จึงไม่เข้าข่าย อีกทั้ง ตามพรบ.สงฆ์ มาตรา 15 ระบุ ผู้มีอำนาจ คือ มหาเถรสมาคมจะสามารถเข้าตรวจสอบได้ กรณีพบการบิดเบือนหรือบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา โดยให้อำนาจพระสงฆ์ที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น ซึ่งกรณีน้อง 8 ขวบนั้น เป็นบุคคลทั่วไป หากจะดำเนินการอาจต้องใช้ข้อกฎหมายอื่นเช่นประมวลกฎหมายอาญาที่ระบุในกรณีบุคคลธรรมดากระทำการลบหลู่ดูหมิ่นสิ่งเคารพเช่นศาสนาวัตถุศาสนาสถานหรือบุคคลทั่วไปเข้าก่อเหตุวุ่นวายใน ที่ชุมนุมประกอบศาสนพิธีหรือหรืออีกลักษณะความผิดคือบุคคลทั่วไปแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ในการกระทำผิดเหล่านี้จึงสามารถดำเนินคดีได้


อย่างไรก็ตามในขณะนี้ทางสำนักงานพุทธศาสนาฯ ได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบกลั่นกรองข้อมูลที่มีผลกระทบต่อศาสนาโดยในคณะทำงานมีผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนาเช่นคณะสงฆ์ที่จบเปรียญธรรมจิตขึ้นไป และทีมกฎหมายที่เชี่ยวชาญด้านศาสนาเข้ามาดูแล พร้อมเพิ่มช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลพระไตรปิฎกหลักคำสอนต่างๆ ของพระพุทธศาสนาให้ประชาชนได้ศึกษา จึงขอฝากประชาชนในกรณีที่พบมีการเผยแพร่หลักธรรมคำสอนที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาให้ตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ก่อนหลงเชื่อ


ขณะเดียวกันเมื่อวานนี้ (13 พ.ค.67) เวลา 14:00 น. ที่ห้องประชุมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ตำบลคลองฉนาก อ.เมืองสุราษฎร์ธานี นายสิทธิชัย ไทยเจริญ นายอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ฝ่ายปกครอง พม.สุราษฎร์ธานี และ ทีมสถาบันสุขภาพจิตเด็กภาคใต้ ร่วมพูดคุยถึงแนว กระบวนการทำงาน ติดตาม ประเมิน ค้นหาข้อเท็จจริง ในกรณีกลุ่มนิรมิตรเทวาจุติ หรือน้องไนซ์ ก่อนที่จะพร้อมกันไปบ้านของครอบครัวน้องไนซ์ โดยไม่อนุญาตให้สื่อเข้า ส่วนเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เข้าไปต้องมีการตรวจบัตรข้าราชการ นายสิทธิชัย ไทยเจริญ นายอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี กล่าวก่อนไปพูดคุยว่า วันนี้ตนได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัดในการดำเนินการติดตาม ซึ่งที่ผ่านมาได้ขอความร่วมมือแต่ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจึงต้องเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอนตามกฎหมาย


โดยในวันนี้ ได้มีนักจิตวิทยา จิตแพทย์ พม. เข้าไปพูดคุยเป็นการเฉพาะตามกระบวนการ และเป็นเรื่องของเด็กที่ละเอียดอ่อน เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า สื่อไม่สามารถเข้าไป เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ทางเขาเตรียมไลฟ์สดตรงนี้ จะดำเนินการอย่างไร ก็ต้องเข้าไปพูดคุยและขอความร่วมมือไม่ให้ไลฟ์สดแต่หากยังไลฟ์สดก็ต้องดูอีกครั้งนึงว่าจะดำเนินการอย่างไร ผู้สื่อขาวรายงานว่าหลังจากที่เจ้าหน้าที่เข้าไปได้มีการไลฟ์สดของทางนิรมิตรฯ และของทนาย


ทั้งนี้มีรายงานว่านายสิทธิชัย นายอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี พร้อมคณะได้เข้าไปพูดคุยกับน้องไนซ์และพ่อแม่โดยมีทนายความและผู้ที่ให้การสนับสนุนน้องไนซ์อยู่ในบ้านหลังดังกล่าวด้วย ซึ่งใช้เวลาประมาณ 50 นาที นายสิทธิชัยจึงได้เดินออกมาพร้อมกับแจ้งกับผู้สื่อข่าวว่าทางครอบครัวของน้อง น้อยไม่อนุญาตให้มีการทำข่าวและไม่ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ข่าวแต่อย่างใดอย่างไรก็ตามจากการพูดคุยไม่ บรรลุวัตถุประสงค์ของการ ตรวจสอบทั้งในส่วนของของนักจิตวิทยาและส่วนของสถาบันฟื้นฟูเด็กเราไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเด็กตามลำพังซึ่งหลังจากนี้จะนำผลที่ เข้าพบในวันนี้ไปประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/wFcvuxqToOY


คุณอาจสนใจ

Related News