สังคม

“หนูไม่อยากทำแล้ว” เปิดคลิปเสียง ผู้ตายคุยอากู๋ ก้มกราบทนาย ให้ถอนคำร้องปรปักษ์ ชี้ไม่ใช่เจตนาตั้งแต่แรก

โดย nattachat_c

27 ก.พ. 2567

3.9K views

เพื่อนบ้านคดีบุกรุกบ้านอากู๋ ผูกคอตายในบ้านพักย่านคันนายาว คาดสาเหตุเครียด ทนายความ เผย เจ้าของบ้านตัวจริงใช้สื่อกดดันแทนที่จะใช้การเจรจาหรือใช้ข้อกฎหมาย ประกอบกับมีโรคประจำตัวร้ายแรง เปิดคลิปลับเสียงสนทนาระหว่างผู้ตายกับอากู๋ ก่อนลาโลกกราบเท้าทนายจะไม่ฟ้องปรปักษ์ไม่ใช่เจตนาตั้งแต่แรก

จากกรณีเพื่อนบ้านเข้ายึดบ้านของอากู๋ เจ้าของบ้านที่ซื้อไว้ก่อนจะมอบให้หลานที่กำลังจะแต่งงาน โดยเพื่อนบ้านอ้างสิทธิ์ครอบครองปรปักษ์มาเกิน 10 ปี เข้ามาต่อเติมและเข้าใช้ประโยชน์ แม้คดีนี้ศาลยังไม่ตัดสิน แต่กลับพบว่าเพื่อนบ้านกลับไปบุกยึดบ้านรอบ 2 ติดป้ายไวนิลขายไก่ทอด หลานชายอากู๋ ไปแจ้งความแล้วยึดบ้านคืน

ต่อมาพนักงานสอบสวน สน.โคกคราม นำตัว น.ส.ศรีพรรณ กับพวกรวม 5 คน ผู้ต้องหาคดีครอบครองบ้านปรปักษ์ ในพื้นที่รามอินทรา ส่งสำนวนอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญามีนบุรี 1 หลังมีความเห็นสั่งฟ้องในข้อหาบุกรุกทำให้เสียทรัพย์และลักทรัพย์

ล่าสุดวานนี้ (26 ก.พ.) เวลา 08.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คันนายาว รับแจ้งเหตุมีผู้ผูกคอเสียชีวิตในบ้านพัก ถ.เลียบวงแหวนกาญจนา จากการตรวจสอบพบว่าผู้เสียชีวิต ชื่อ น.ส.ภานุมาศ อายุ 52 ปี ใช้ผ้าขนหนูผูกคอกับประตูห้องน้ำชั้น 2 ภายในบ้านพัก จากนั้นตำรวจ สน.คันนายาว เข้าตรวจสอบในบ้านหลังดังกล่าว โดยทางหมู่บ้านไม่อนุญาตให้สื่อเข้าไปบันทึกภาพ

มีรายงานว่า น.ส.ภานุมาศ เป็นหนึ่งในผู้ต้องหา ที่ถูกแจ้งความในคดีบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์บ้านอากู๋ และเป็นญาติของผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีข้อหาครอบครองปรปักษ์ จนกลายเป็นประเด็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมเป็นอย่างมาก

โดยผู้ศพคนแรกคือสามีของ น.ส.ภานุมาศ ระบุว่า ตนเองออกไปซื้อของ พอกลับเข้ามาที่บ้านก็ไม่เจอตัวจึงเดินตามหา พบว่าภรรยาได้ใช้ผ้าผูกคอตัวเองในห้องน้ำพยายามช่วยเหลือทำ CPR แล้วแต่ไม่เป็นผล พนักงานสอบสวนได้มอบร่างให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูเคลื่อนย้ายส่งชันสูตร ที่สถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ

นายฉลาด พรหมจันทร์ เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู ให้ข้อมูลว่า จากการเข้าร่วมตรวจสอบ พร้อมแพทย์นิติเวช พบว่าผู้เสียชีวิตคาดว่าจะเสียชีวิตไม่นาน อยู่ในช่วงเวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง เพราะร่างยังไม่เปลี่ยนสภาพ ยังไม่แข็ง โดยอาสามูลนิธิกู้ภัยร่วมกตัญญู ที่เป็นชุดแรกเดินทางไปถึงยังจุดเกิดเหตุ ระบุว่า เบื้องต้นเมื่อตนเองเดินทางเข้าไปถึงพบร่างผู้เสียชีวิตนอนอยู่ที่บริเวณชั้น 2 ภายในห้องนอน ไม่พบจดหมายเขียนลาตาย

จากการตรวจสอบสัญญาณชีพ พบว่า เสียชีวิตแล้ว จากการสอบถามกับทางญาติให้ข้อมูลว่าช่วงเช้าหลังจากกลับออกมาจากการเดินทางไปข้างนอกพบว่าประตูห้องนอนล็อคจึงพยายามเรียกแต่ไม่มีใครตอบกลับจึงปีนไปดูที่ระเบียงพบว่าผู้เสียชีวิตผูกคออยู่ภายในห้องน้ำซึ่งอยู่ในห้องนอน จึงรีบพังประตูเข้าไปและเคลื่อนย้ายร่างลงสู่พื้นและเริ่มทำการช่วยฟื้นคืนชีพแต่ไม่เป็นผลจึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดำเนินการ

ขณะที่ญาติของ น.ส.ภานุมาศ (ผู้ตาย) เดินทางมาให้ปากคำกับตำรวจ สน.คันนายาว เผยว่า ส่วนตัวไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่ทราบว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพหรือไม่ ไม่ทราบและไม่รู้ว่าถูกกดดัน จากการที่เป็นข่าวหรือไม่ เพราะตนเองก็ไปดูร่างผู้เสียชีวิตตอนที่กู้ภัยเข้ามา ส่วนที่เสียชีวิตแล้วสามีไปพบศพ ตนเองก็ไม่ทราบรายละเอียดเช่นกันและไม่ขอพูดรายละเอียด เมื่อถามว่ามีสัญญาณอะไรมาก่อนเสียชีวิตบ้าง ญาติบอกว่ามีบ่นกับคนใกล้ชิด แต่ตนเองไม่ได้อยู่ใกล้ชิด

นักข่าวถามว่า ล่าสุดได้คุยกับผู้เสียชีวิตเมื่อไหร่ ญาติระบุว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็เป็นการพูดคุยให้กำลังใจกัน โดยให้กำลังใจว่าปัญหามีก็แก้กันไป และตนเองก็ให้กำลังใจลูกหลานทุกคน ซึ่งบ้านหลังที่เกิดเหตุเขาก็อยู่กับสามี พร้อมยอมรับว่าการที่เสียชีวิต อาจจะมีส่วนจากการถูกดำเนินคดี แต่เขาก็ไม่ได้ระบายอะไรตอนที่คุยกัน เราก็ให้กำลังใจกันว่าเมื่อมีคดีขึ้นมาเกิดขึ้นแล้วก็แก้ปัญหากัน

ส่วนมีอาการป่วยหรือไม่นั้น ตนเองไม่ขอตอบและที่ผ่านมา ไม่เคยได้พูดคุยเรื่องต่อสู้คดี ส่วนมากก็คุยเรื่องงาน และให้กำลังใจกันไป ส่วนกรณีที่จะถอนฟ้อง ตนเองก็ไม่ทราบรายละเอียด ขอไม่พูดให้ทนายให้นักกฎหมายพูดไป และยังบอกอีกว่าผู้เสียชีวิตได้บริจาคร่างไว้ก่อนแล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผยว่าบริจาคที่ไหน เพราะเขาเป็นคนใจบุญ จะเข้าไปวัดไปสวดมนต์ทุกวันเสาร์-อาทิตย์

ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์สอบถามไปยังนายวัฒนา เรืองแก้ว ทนายความ ที่เคยทำคดีครอบครองปรปักษ์ให้ทางกลุ่มผู้เสียชีวิต โดยนายวัฒนา กล่าวว่า น.ส.ภาณุมาศ เคยมาตัดพ้อกับตนเองว่ารู้สึกเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จนเกิดความกดดัน อีกทั้งมีสื่อมวลชนไปทำข่าวเป็นจำนวนมาก ประกอบกับมีโรคประจำตัวร้ายแรงอยู่ด้วย

ส่วนตัวมองว่าการที่ทนายความฝ่ายตรงข้ามมีสื่ออยู่ในมือและพยายามกดดัน ทำให้เจ้าตัวเกิดอาการเครียดจนโรคประจำตัวก็กำเริบขึ้น จนมีอาการจิตตก ที่ผ่านมาตนเองก็ มีการพูดคุยให้กำลังใจอยู่บ้าง ล่าสุดตอนนี้ได้พูดคุยกับญาติผู้เสียชีวิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะเดินทางไปพบญาติในเร็วๆ นี้

ผู้สื่อข่าวถามว่าในเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น ฝั่งญาติผู้เสียชีวิต จะมีการดำเนินการอย่างไรบ้าง นายวัฒนา กล่าวว่า ต้องรอให้ญาติตัดสินใจอีกที ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้ามีการไกล่เกลี่ยและคืนที่ดินที่มีข้อพิพาทอยู่จะเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นหรือไม่ นายวัฒนา กล่าวว่า ในทางกฎหมายมีข้อต่อสู้อยู่ แต่ทางฝั่งลูกความตนเองถูกดำเนินคดีอาญาไปด้วย ประกอบกับทนายความฝั่งตรงข้าม มีชื่อเสียงและเอาสื่อเป็นตัวนำ

นอกจากนี้ในช่วงของการไกล่เกลี่ย ฝั่งคู่กรณีก็ตั้งราคาบ้านสูงเกินไป ลูกความตนเองจึงใช้กฎหมายต่อสู้ ให้ศาลเป็นคนตัดสิน เนื่องจากว่าคดีมีข้อเท็จจริงและมีข้อกฎหมายรองรับอยู่ แต่กลับถูกฝั่งตรงข้ามใช้สื่อมวลชนเป็นตัวนำ สุดท้ายจึงเกิดเรื่องเศร้าขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ส่วนหนึ่งมาจากการปรึกษาทนายในเรื่องของการครอบครองปรปักษ์ จนเรื่องบานปลายหรือไม่ นายวัฒนา ยืนยันว่าเพราะมีข้อกฎหมายที่เปิดช่องให้ต่อสู้ได้ ซึ่งเพื่อนบ้านก็ยอมเป็นพยานในคดีดังกล่าวด้วย ถ้าใช้ขั้นตอนทางศาลน่าจะไกล่เกลี่ยสำเร็จไปแล้ว ยืนยันว่าไม่ใช่การยุยงส่งเสริม

ขณะเดียวกันมีการเผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.ภานุมาศ (ผู้ตาย) กับอากู๋ โดยต้นคลิป อากู๋พูดว่า “การเจรจาต้องมีการให้เกียรติกัน แล้วจริงๆ ก็ไม่เลยเถิดถ้าไม่ไปแจ้งปรปักษ์” // ในคลิปผู้ตายบอกว่า “ตอนนี้เราคุยกับทนายแล้ว เราจะยกเลิกปรปักษ์ ไม่ทำแล้วค่ะ หนูจะไม่ทำแล้วเพิ่งเรียกคุยกับทนายที่ออฟฟิศ แล้วหนูก็กราบเท้า เราคิดว่าทุกคนมาแนะนำทุกอย่าง เราไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย หนูก็ได้คุยกับทนาย กราบเท้าเขาเลยว่าหนูไม่อยากทำแล้ว มันไม่ใช่เจตนาของหนูตั้งแต่แรก พี่สาวหนูเข้าไปดูแลจริงๆ เข้าไปดูแลทำโน้นทำนี่ มีอะไรเขาก็ปรึกษา”



สำหรับคดีบ้านอากู๋  มี 3 คดี  ดังนี้

คดี 1 คดีบุกรุกบ้านอากู๋ (ครั้งที่1)

1. น.ส.ศรีพรรณ สามัคคี (ญาติของภานุมาศ และ แม่บ้าน)

2. น.ส.ภานุมาศ สามัคคี (ผู้เสียชีวิต)

3. นางนิตยา สามัคคี (ญาติของภานุมาศ)

4. นายพลกิจ ทองคำ (เจ้าของบริษัท คู่สัญญากับการประปา)

5. น.ส.มาลี คินน้อย (เพื่อนบ้าน)

คดี 2 ร้องครอบครองปรปักษ์ ที่ศาลแพ่งมีนบุรี น.ส.ศรีพรรณ สามัคคี เป็นผู้ร้อง (พี่สาวคนตาย)

คดี 3 อากู๋ แจ้งความบุกรุก (ครั้งที่ 2) เอาผิด น.ส.ศรีพรรณ สามัคคี ที่ สน.โคกคราม

------------------------------------------------

‘อากู๋’ ช็อกแสดงความเสียใจ-ขออโหสิกรรม ด้านทนายเดชา ยันไม่เคยใช้สื่อเป็นเครื่องมือ โต้กลับ ทนายผู้เสียชีวิต แนะนำคดีผิดเป็นต้นเหตุให้เครียดหรือไม่ แจงมีการเจรจาสำนึกผิดตลอด แต่ยังไม่เรียบร้อยมาเสียชีวิตก่อน

ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ เจ้าของเพจทนายคลายทุกข์ โพสต์ข้อความระบุว่า “ผมได้แจ้งให้อากู๋ทราบแล้วอากู๋ถึงกับช็อคและขอแสดงความเสียใจกับการเสียชีวิตของผู้บุกรุกและขออโหสิกรรม”

จากนั้นเวลา 15.00 น. ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ พร้อมด้วย นายภคิน ทิมกุล หรือ ซัน หลานชายของอากู๋ เจ้าของบ้านตัวจริง ได้ร่วมกันแถลงข่าวแสดงความเสียใจที่ น.ส.ภาณุมาศ เสียชีวิต รวมถึงได้แถลงโต้กณีที่ทนายความผู้เสียชีวิตกล่าวหาว่าใช้สื่อมวลชนกดดันจนผู้บุกรุกถึงแก่ความตายด้วย

ทนายเดชา ระบุว่า ทางอากู๋ ได้บอกผ่านตนเองอโหสิกรรมให้กับผู้เสียชีวิต แต่มีประเด็นที่ทนายความให้สัมภาษณ์ใส่ร้าย ว่า อากู๋ใช้สื่อมวลชนไปกดดันจนผู้ตายถึงแก่ความตาย พวกเราขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง

และก่อนหน้านี้นายพลกฤษณ์ ทองคำ สามีของผู้เสียชีวิตและสามีของคุณมาลี ผู้ต้องหาอีกคนเข้ามาติดต่อตนเอง เพื่อมาบอกว่าสำนึกผิด และจะรับสารภาพทุกอย่าง ยินดีที่จะรับผิดชอบกับค่าเสียหายทั้งหมด และจะถอนฟ้องคดีครอบครองปรปักษ์ เพราะผู้ร้องคือพี่สาวผู้ตาย คือ น.ส.ศรีพรรณ ซึ่งตนเองก็พยายามติดต่อหาอากู๋ เพื่อเข้าไปกราบขอโทษอากู๋ และตนเองพยายามเป็นคนกลางในการติดต่อประสานให้ แต่ยังไม่เรียบร้อย ก็มาเสียชีวิตไปก่อน    

ส่วนตอนที่มีการพูดคุย มีการพูดถึงความเครียดหรือไม่นั้น ทนายเดชา บอกว่า สามีไม่ได้พูดถึงนางสาวภาณุมาศ ผู้เสียชีวิต แค่พูดว่ายินดีที่จะเยียวยาค่าเสียหาย แต่ผู้เสียชีวิต มีการส่งข้อความหาหลานสะใภ้ของอากู๋ ว่า “ให้ทำบุญให้กับคนป่วย” และพยายามที่จะขอโทษและแสดงความจริงใจ ขอให้ให้อภัยเขา เป็นข้อความที่ส่งมาก่อนที่จะมาเสียชีวิตวันนี้

ส่วนกรณีที่ว่าใช้สื่อกดดันนั้น ทนายเดชา มองว่า ก่อนหน้านี้ ผู้เสียหายเจ้าของบ้านตัวจริงก็ไปร้องเรียนสื่อมาตลอด แล้วก็มาหาตนเอง ก็ได้แนะนำให้ไปแจ้งความ เพื่อให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย 5 คน และการร้องเรียนสื่อเป็นเรื่องปกติ เป็นการใช้สิทธิโดยชอบ เพราะก็รู้อยู่แล้วว่าตำรวจทำงานช้า ซึ่งการดำเนินคดีตอนแรกก็เป็นการทำข่าวปกติ แล้วพอมีการไปออกรายการ ก็ดัง และนักข่าวพิธีกรช่วยกันเจรจา ซึ่งไม่ได้เป็นการไปกดดัน การที่ทนายพูดเป็นการพูดอย่างไม่มีความรับผิดชอบ

ทั้งนี้ ยังมองด้วยว่า ทนายความที่ได้ไปแนะนำให้เอาป้ายมาติด แนะนำให้ไปตัดกุญแจ อยากถามกลับไป ว่า ลูกความคุณตายเพราะตัวคุณเองหรือเพราะสื่อ ที่ไปให้คำแนะนำบุกรุกเข้าไปครั้งที่ 2 ทั้งที่เจรจากันจะจบอยู่แล้ว ค่าเสียหายจะจบอยู่แล้ว แต่ไปเปลี่ยนทนายความใหม่ แล้วทนายความแนะนำหรือไม่ จนเป็นคดีความขึ้นมา และฝากไปยังทนายผู้เสียชีวิตด้วยว่า คุณธรรมนำกฎหมาย และสื่อมวลชนก็ไม่ใช่เครื่องมือของตนเอง ดังนั้นย้ำว่า การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนเป็นการนำเสนอปกติ ไม่ได้นำเสนอเพื่อกดดันจนถึงแก่ความตาย

ดังนั้นจะทำอะไรให้นึกถึงจริยธรรมในวิชาชีพ และลูกความถึงแก่ความตาย ต้องร่วมกันรับผิดชอบหรือไม่ เพราะไปแนะนำจนทำให้ติดคุกติดตารางถูกดำเนินคดี ไปแนะนำให้สู้คดี จนเขาเกิดความเครียด

ทนายเดชา ยังได้แนะนำไปยังสามีผู้ตายด้วยว่า ให้ไปปรึกษาสภาทนายความว่า คดีไปได้ไหวหรือไม่ ที่จะสู้คดี หรือควรจะยอมรับผิดและต้องเยียวยาผู้เสียหาย

ทนายเดชา ยังบอกอีกว่า ทนายความของผู้เสียชีวิต ก็ยังมากล่าวหาว่า ทีมทนายความของตนเอง ก็คือทนายกุ้ง รวมถึงหลานอากู๋ ว่าใช้อำนาจเถื่อนที่ไปตัดกุญแจ ไม่เคารพศาล ศาลยังไม่สั่ง นี่เหรอคือการให้คำปรึกษาทนายความของคู่กรณี ทั้งที่เป็นบ้านของเจ้าของตัวจริง แต่คุณไปแนะนำให้กลับมาบุกรุกอีกครั้งแบบนี้เรียกว่าเถื่อนหรือถ่อย

ทั้งนี้ ขอไม่ซ้ำเติมผู้ตาย เพราะเขาเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนอากู๋ ซัน และตนเองไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว แต่ทนายความควรต้องรับผิดชอบอะไรหรือไม่ ที่ไปให้คำแนะนำจนเป็นเหตุให้เสียชีวต ไปให้คำแนะนำว่าชนะคดีแน่ ทั้งที่หลักฐานมันชัดเจนอยู่แล้ว และหลังจากทราบว่า ผู้ต้องหาผูกคอตายเสียชีวิต อากู๋ก็อยากจะให้มีการไกล่เกลี่ย โดยใช้กระบวนการทางกฎหมาย

ส่วนคดีความตอนนี้พนักงานอัยการได้นัดหมายในคดีบุกรุกไปพบในวันที่ 6 มี.ค. 09.00 น. แต่เมื่อผู้ต้องหาเสียชีวิตไป คดีของผู้เสียชีวิตก็สิ้นสุดลง ก็จะเหลืออีก 4 คน ที่เป็นผู้ต้องหา ซึ่งต้องรอฟังคำสั่งของอัยการอีกครั้ง ส่วนหากทางทนายความผู้เสียชีวิตจะมาดำเนินคดีกับฝั่งตนเองก็พร้อมรับมือ แต่อยากให้นึกถึงบาปบุญคุณโทษบ้าง

ต่อมาเวลา 18.36 น. ทนายเดชา ได้โพสต์ว่า “คดีบ้านอากู๋ผู้ตายขอร้องทนายความของตัวเองให้ถอนคำร้องครอบครองปรปักษ์เพราะไม่ได้ต้องการบ้านของบุคคลอื่นแต่ทนายความไม่ยอม กราบเท้ายังไม่ยอม ทนายความคือตัวบงการทุกอย่าง แต่ไม่ได้รับผิดชอบต่อความตายของลูกความ”


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/Jw3g6Qa0wbY

คุณอาจสนใจ

Related News