สังคม

สาวอุดรโวยลั่นตรบุกบ้านสุดท้ายยอมยกมือไหว้อย่างสวยอ้างเข้าใจผิด

โดย onjira_n

24 มิ.ย. 2565

3.1K views

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกรณีมีการแชร์คลิปภาพลงในโลกโซเชียล ที่มีสาวอุดรคนหนึ่งอัดคลิปไลฟ์สด โวยวายใส่ตำรวจสายตรวจ สภ.ห้วยหลวง อ.เมืองอุดรธานี จำนวน 2 นาย และผู้หญิง 1 คน ว่าถูกบุกค้นบ้านโดยไม่มีหมายค้น ทั้งๆที่บ้านตัวเองมีประตูรั้ว และยังอ้างในไลฟ์สดอีกว่า สามีตัวเองถูกตำรวจทั้ง 2 นาย ทำร้ายร่างกายด้วยการตบหน้าและจะร้องเรียนกับ 111 เพื่อขอความเป็นธรรม ซึ่งคลิปดังกล่าวมีความยาวประมาณ 3 นาทีกว่าๆ และมีการแชร์คลิปวิพากษ์วิจารณ์ในการทำงานของตำรวจ ออกไปเป็นจำนวนมาก ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 น. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ สภ.ห้วยหลวง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงกับ ร.ต.ท.ประภาส แรงน้อย รอง สวป.สภ.ห้วยหลวง และด.ต.บรรจง รวดเร็ว ผบ.หมู่ ป. สภ.ห้วยหลวง ที่ปรากฏอยู่ในคลิป ซึ่งตำรวจทั้ง 2 นาย ได้ออกไปออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบในพื้นที่ ต.เชียงยืน ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางสอบถามข้อเท็จจริง ที่บ้านของ นางธัญญารัตน์  อายุ 51 ปี ที่ซื้อต่อญาติที่เป็นคนโพสต์คลิป โดยเหตุการณ์คลิปนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 21 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ที่ทางเข้าไร่มันสำประหลังท้ายหมู่บ้านนาเยีย ม.6 ต.เชียงยืน อ.เมือง จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นบ้านหลังใหม่ของ น.ส.ศวรรยา  อายุ 44 ปี ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเป็นคนอัดคลิปแชร์ไปในโลกโซเชียล



นางธัญญารัตน์ สีหานาวี เปิดเผยว่า ตนเป็นคนแจ้งตำรวจและอยู่ในเหตุการณ์ ที่ตนเองต้องแจ้งตำรวจให้พาไปพบกับ น.ส.ศวรรยาฯ วึ่งเป็นญาติทางสามีตนเอง เพราะว่าตนเองซื้อบ้านหลังนี้พร้อมที่ดิน ต่อจาก น.ส.ศวรรยาฯ ประมาณ 3 เดือน ในจำนวนเงิน 1 ล้านบาท แต่จ่ายไปแล้ว 970,000 บาท และที่ยังไม่จ่ายอีก 3 หมื่นบาท เนื่องจากที่บ้านถูกตัดไฟฟ้า และต้องเดินสายไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ได้โอนบ้านหลังนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของตนแล้ว คงเหลือแต่ไม่สามารถเข้าบ้านได้ เพราะจ้าของบ้านคนเก่าได้นำกุญแจมาล็อกประตูรั้วบ้านเอาไว้



ทั้งยังพบพฤติกรรมเจ้าของบ้านคนเก่า กำลังจะทำให้บ้านเสียหาย โดยการรื้อสังกะสีหลังบ้านออก และกลัวเจ้าของบ้านเก่าทำสิ่งผิดกฎหมาย (ยาเสพติด) พาเพื่อนมามั่วสุม เกรงว่าหากตำรวจมีการตรวจค้นพบสิ่งผิดกฎหมายในบ้าน ตนเองในฐานะเจ้าของบ้านอาจจะถูกดำเนินคดีไปด้วย จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจช่วยพาไปเจรจากับเจ้าของบ้านคนเก่าที่เป็นญาติกัน ให้เปิดบ้านให้และขนสิ่งของออกจากบ้าน หลังเคยตกลงกันไว้ตอนโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินกันว่า ให้เวลา 1 เดือน กระทั่งวันนี้เลยมาเกือบจะ 3 เดือนแล้ว ก็ยังเหมือนเดิม และคุยกันไม่รู้เรื่อง จึงต้องพึ่งพาตำรวจช่วยพาไปเจรจา และก็มีการอัดคลิปว่าตำรวจบุกรุกและทำร้ายร่างกายสามีคนอัดคลิป ซึ่งตนขอยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ทำอย่างที่เขาพูดบรรยายเลย และตำรวจทำตามหน้าที่ถูกตามขั้นตอนการปฏิบัติทุกอย่าง”



ด้าน ร.ต.ท.ประภาส แรงน้อย รอง สวป.สภ.ห้วยหลวง เปิดเผยว่า ตนเป็นตำรวจที่อยู่ในคลิป วันเกิดเหตุตนเองกับ ด.ต.บรรจง รวดเร็ว ผบ.หมู่ ป. สภ.ห้วยหลวง ได้รับแจ้งจากเจ้าของบ้านที่ชื่อ นางธัญญารัตน์ สีหานาวี ว่า น.ส.ศวรรยาฯ เจ้าของบ้านคนเก่าไม่ยอมย้ายออกจากบ้าน ทั้งที่มีการซื้อขายโอนบ้านกันแล้ว จึงพานางธัญญารัตน์ฯ เจ้าของบ้านคนใหม่ ไปเจรจากันกับ น.ส.ศวรรยาฯ เจ้าของบ้านคนเก่า ที่บ้านหลังใหม่ของ น.ส.ศวรรยาฯ ที่ไร่มันสำประหลัง ท้ายหมู่บ้านนาเยีย ต.เชียงยืน บวกกับมีการร้องเรียนจากชาวบ้านว่า น.ส.ศวรรยาฯ ที่เป็นคนไลฟ์สด มีพฤติกรรมมั่วสุมเสพยาเสพติดที่บ้านหลังเก่าที่ขายให้กับ นางธัญญารัตน์ฯแล้ว จึงพากันเดินทางไปตรวจสอบช่วยเจรจา โดยมีนายวิชิต สีดาคำ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านนาเยีย ร่วมเดินทางไปร่วมเจรจา และมีการอัดคลิปต่อว่าให้ตำรวจต่างๆนานาๆ แชร์ไปในโลกโซเชียล



ตนเองงกับ ด.ต.บรรจงฯ ขอยืนยันว่าไม่ได้บุกเข้าไปในบริเวณบ้านของ น.ส.ศวรรยาฯ และไม่ได้มีการตบหน้าใครตามคำกล่าวอ้างในคลิป ซึ่งที่จริงแล้วตนเองกับ ด.ต.บรรจงฯ ถูกสามีของ น.ส.ศวรรยาฯ ท้าให้ถอดเครื่องแบบไปต่อยกับเขา ซึ่งตอนนั้นในฐานะคนที่เป็นตำรวจ ก็ได้แต่อดทนอย่างเดียว และยืนฟัง น.ส.ศวรรยาฯ โวยวายอยู่หลายนาที โดยไม่ได้ตอบโต้อะไร และยืนยันว่าในคลิปทางตำรวจทำตามหน้าที่ ไม่ได้ไปบุกรุก และข่มขู่หรือทำร้ายใคร อย่างไรก็ตาม หากผู้โพตส์คลิปต้นเรื่อง คือ น.ส.ศวรรยาฯ ได้แชร์คลิปภาพออกไป ทำให้ตำรวจเสื่อมเสีย และหากมาขอโทษ และลบคลิป ทางตำรวจก็จะให้อภัย หากยังไม่ลบคลิปออก หรือไม่มีการขอโทษ ตำรวจก็จะจำเป็นต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย” หลังจากนั้น ร.ต.ท.ประภาส แรงน้อย และด.ต.บรรจง รวดเร็ว พร้อมด้วย นางธัญญารัตน์ฯ และนายวิชิต สีดาคำ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านนาเยีย นำผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบจุดที่มีการอัดคลิป และสอบถาม ข้อเท็จจริงกับ น.ส.ศวรรยาฯ ผู้โพสต์ทำให้ตำรวจเสื่อมเสียและผิดกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่ น.ส.ศวรรยาฯไม่อยู่บ้านทราบว่าออกไปทำธุระข้างนอก ตำรวจจึงเดินทางกลับ เพราะไม่รู้ว่า น.ศ.ศวรรยาฯจะกลับบ้านเวลาไหน



ส่วน นายวิชิต สีดาคำ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านนาเยีย เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุขอยืนยันว่า ทางตำรวจ ไม่ได้ทำร้ายร่างกายหรือพูดตอบโต้อะไรกับคนถ่ายคลิปไลฟ์สด กลับกันมีแต่คนไลฟ์สดที่พูดโวยวายด่าตำรวจอยู่ฝ่ายเดียว ทั้งยังชี้หน้าด่าตนเองว่า ไอ้คนหัวล้านที่ยืนอยู่เป็นใคร มาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ ส่วนเรื่องที่ทางตำรวจบอกว่า จำเป็นต้องมาในที่เกิดเหตุ เพราะมีชาวบ้านแจ้งถึงพฤติกรรม เรื่องยาเสพติดและขับรถเสียงดังในหมู่บ้าน เป็นเรื่องจริง หลังจากนั้นทางตำรวจและคนอัดคลิปก็ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรมากกว่านั้น ต่างคนต่างกลับ แต่คนถ่ายคลิปไลฟ์สด ยังยืนเอะอะโวยวายต่ออยู่คนเดียว



ด้าน น.ส.ศวรรยาฯ คนถ่ายคลิป ปิดเผยว่า ที่ทำไปเพราะตกใจ และไม่รู้กฎหมาย PDPA ที่ต้องถ่ายคลิปในวันเกิดเหตุเพราะเห็นตำรวจแล้วตกใจกลัว เพราะเห็นตำรวจบุกเข้ามาที่บ้าน โดยไม่ได้ขออนุญาตและไม่มีหมายค้น และเห็นตำรวจทำท่าตบปืนพกมี่เอว และทำท่าจะตบหน้าสามี ที่ต้องโวยวายเพราะป้องกันตัวเอง เพราะตำรวจทั้ง 2 นาย เดินเข้าไปในบ้าน แต่ตอนนั้นไม่ได้ถ่ายคลิปไว้ และที่บอกในคลิปไปว่า สามีถูกตำรวจตบหน้า จริงๆแล้ว ยังไม่ได้ตบ แต่เห็นตำรวจเงื้อมือจะตบหน้าสามี ก็เลยโวยวายไปในคลิป ยืนยันพร้อมจะขอโทษตำรวจ หากคลิปที่ถูกแชร์ออกไปทำให้ตำรวจเสื่อมเสีย



ส่วนผู้หญิงที่มากับตำรวจ เป็นญาติกันที่ตนเองขายบ้านให้ ตอนนี้ก็ยังข้องใจอยู่ว่า ทำไมญาติกันถึงพาตำรวจบุกมาหาตนเองที่บ้าน ยืนยันว่าไม่รู้จริงๆ ว่าการที่แชร์คลิปออกไป และทำให้ตำรวจเสื่อมเสีย แล้วตนเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มีกฎหมายใหม่ออกมาว่าไม่ให้แชร์ภาคบุคคลอื่น หากไม่ได้รับอนุญาต ส่วนเรื่องที่ตำรวจบอกว่า มีชาวบ้านแจ้งไปว่า ตนเองกับสามี มีพฤติกรรมเสพยาเสพติด ขับรถเข้าออกในพื้นที่เสียงดัง ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง แต่ยอมรับว่าขับรถเข้าออก เพื่อมาดูบ้านที่กำลังก่อสร้างในยามค่ำคืนจริง เพราะห่วงบ้านที่กำลังก่อสร้าง กลัวคนมาขโมยอุปกรณ์ก่อสร้างไป”



ต่อมา ร.ต.ท.ประภาส แรงน้อย และด.ต.บรรจง รวดเร็ว และ น.ส.ศวรรยาฯผู้โพสต์คลิป จะทำความเข้าใจกัน และขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งตำรวจทั้ง 2 นาย ก็ยินดีเดินทางมารับคำขอโทษในจุดเกิดเหตุ พร้อมกับว่ากล่าวตักเตือน น.ส.ศวรรยาฯ ว่าเวลาจะโพสต์คลิปภาพอะไรลงในโลกโซเชียล ควรจะคำนึงถึงข้อกฎหมายเสียก่อน ที่สำคัญในคลิปภาพที่โพสต์ทำให้คนอื่นเสียหายหรือไม่ เมื่อรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรืออะไรก็ตาม หากสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป ทางตำรวจเราก็พร้อมให้อภัยเสมอ เพราะผู้โพสต์อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือไม่รู้กฎหมายใหม่ของทาง พรบ.คอมพิวเตอร์



ส่วน น.ส.ศวรรยาฯ ผู้โพสต์คลิป ได้ยกมือไหว้ขอโทษตำรวจทั้ง 2 นาย ซึ่งตำรวจก็รับคำขอโทษ และจะไม่แจ้งความดำเนินคดีกับผู้โพสต์ ก่อนที่ น.ส.ศวรรยาฯจะเข้าไปสวมกอดเอวตำรวจที่ให้อภัยยกโทษให้ และฝากผ่านสื่อมวลชนว่า หากใครพบคลิปที่ตนเองโพสต์ลงไป ขอความกรุณาลบออกและห้ามแชร์ต่อ เพราะตนเองได้ลบคลิปต้นฉบับที่โพสต์ลงไปในโลกโซเชียลแล้วในตอนนี้ หลังจากเข้าใจในกฎหมายใหม่ที่ตำรวจได้อธิบายจนเข้าใจ



คุณอาจสนใจ

Related News