สังคม

ลูกสาวอาลัยแม่วัย 75 ติดโควิดเสียชีวิตใน รพ.บุษราคัม เผยทั้งน้ำตา “ภาพสุดท้ายที่ได้จดจำแม่สวยมาก”

โดย thichaphat_d

18 ส.ค. 2564

283 views

นางสาวปริศนา อายุ 55 ปี โพสต์ภาพนางเปลี่ยน คุณแม่ อายุ 75 ปี นอนเสียชีวิตอยู่บนเตียงกระดาษ โรงพยาบาลบุษราคัม หลังเข้ารับการรักษาจากการติดเชื้อโควิดพร้อมกับตนเอง แต่คุณแม่อาการทรุดและเสียชีวิตลงอย่างสงบเมื่อวันที่ 14 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งผ่านพ้นวันแม่ไปเพียง 2 วัน ภายหลังที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยมารับร่างคุณแม่ไปเผา โดยลูกสาวได้โพสต์ข้อความไว้อาลัยสุดเศร้า เป็นคำสนทนาระหว่างแม่ลูก ก่อนที่คุณแม่เสียชีวิต ระบุว่า


“แม่จ๋าแม่โกรธหนูมั้ยที่หนูพาแม่มาที่นี่ แม่ไม่โกรธก็แม่จะมากะเอ็ง แม่โกรธหนูมั้ยเวลาหนูดุแม่ แม่ไม่เคยโกรธเอ็งเลยแม่รักมากรู้มั้ยดูแลหลาน ๆ ให้ดีนะลูก ดูแลตัวเองด้วย ดูแม่หลายวันแล้ว ถ้าหนูทำให้เสียใจหนูขออโหสิกรรมนะคะแม่ หนูดูแม่จากคืนวันที่ 13 ส.ค. จนถึงเที่ยงวันที่ 14 ส.ค. แม่เหนื่อยมาก คุยกับแม่จนแม่หลับไปเฉย ๆ”


“ก่อนหลับแม่บอกเมื่อไหร่จะเลิกชวนคุย แม่เหนื่อยตอบแล้ว จากนี้ไปเราคงจากกันจริง ๆ แล้ว อีกไม่นานเราคงได้เจอกันอีก หนูดีใจที่มีโอกาสมากกว่าใครหลายคน ที่ไม่มีโอกาสแบบหนู จากนี้จะส่งต่อให้หลาน ๆ ที่เราเลี้ยงเขามาส่งดวงวิญญาณแม่สู่สรวงสวรรค์นะคะ และจะให้พระสวดให้แม่ฟังด้วย รักษาตัวเสร็จจะกลับไปทำบุญให้นะจ๊ะแม่จ๋า”


ย้อนไปบ่าย 2 โมง ของวันที่ 11 ส.ค. ก่อนที่คุณแม่จะเสียชีวิตนั้น ลูกสาวยังได้โพสต์ภาพของคุณแม่ นั่งกินข้าวบนเตียงระบุว่า “แม่เป็นคนไม่สู้ และขี้กลัว มาอยู่นี่โดนเราตวาดไปหลายครั้ง เพราะไม่ยอมกินข้าว จะกินแต่ยา นอนทั้งวันจนไม่มีแรง ลุกนั่งยังไม่ไหวเลยตอนนี้ เมื่อกี้บังคับให้กินโจ๊กไปหนึ่งกล่องและกินเกลือแร่ไปอีกหน่อย ขู่แกว่าไม่งั้นแม่จะถูกย้ายไปอยุ่ห้องอาการหนัก ยิ่งคิดถึงบ้านอยู่”


จากนั้น 6 โมงเย็นวันที่ 11 ส.ค. ลูกสาวโพสต์ภาพคุณแม่อีกครั้งนั่งอยู่บนเตียง อาการเหมือนเป็นปกติไม่มีท่าทีจะทรุดหนักแต่อย่างใด พร้อมระบุข้อความว่า “ฟื้นแล้วลุกมากินข้าวต้ม 1 ถ้วยแอปเปิ้ล 3 ชิ้น โอวัลติน 1 แก้ว ทั้งขู่ทั้งบังคับความจริงแม่ไม่มีอาการอะไรเลย แค่ดื้ออย่างเดียว”


ผู้สื่อข่าวโทรศัพท์สอบถามไปยังนางสาวปริศนา (ลูกสาว) ซึ่งขณะนี้ยังรักษาตัวจากการติดเชื้อโควิดอยู่ รพ.บุษราคัม เผยว่า ตนอาศัยอยู่ในชุมชนล็อค 123 ย่านคลองเตย กรุงเทพฯ เป็นคณะกรรมการชุมชนฯ ก่อนหน้านี้ตนและคุณแม่มีอาการตัวร้อน มึนศีรษะ


วันที่ 6 ส.ค.จึงไปซื้อชุดตรวจ Antigen Test Kit หรือ ATK มาตรวจหาเชื้อโควิดเอง ปรากฏว่าผลเป็นบวก ซึ่งคุณแม่ ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด เพราะเพิ่งฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ตรวจให้หลานสาววัย 4 ขวบ ก็ติดเชื้อเช่นกัน ล่าสุดหลานสาววัย 26 ปี ก็ติดเชื้อด้วย


จากนั้นวันที่ 8 ส.ค.ตนกับคุณแม่ ได้เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลบุษราคัม หลานสาววัย 4 ขวบ เข้ารักษาฮอสพิเทลแห่งหนึ่ง ขณะนั้นคุณแม่อาการปกติ ไม่มีไอ ไม่คิดว่าแม่จะแย่ขนาดนี้ เพราะตอนอยู่โรงพยาบาลบุษราคัมแม่ไม่ค่อยกินข้าว ตนจึงบังคับให้กินข้าว โอวัลติน เพราะต้องกินยา อีกทั้งมีโรคประจำตัวเส้นเลือดตีบ เบาหวาน ความดัน เป็นกลุ่มโรคเสี่ยงอาจทำให้อาการทรุดไปอีก -วันที่ 9-10 ส.ค.คุณแม่ นอนติดเตียง 2 วันติดไม่ลุกขึ้นเลย


วันที่ 11 ส.ค.แม่ลุกขึ้นมานั่งกินข้าวได้แค่มือเช้า/วันที่ 12 ส.ค.แม่ไม่ทานข้าวเลย ค่าออกซิเจนในเลือดเริ่มต่ำ 90 % /วันที่ 13 ส.ค.แม่เริ่มหายใจแรงมาก จึงถามว่า “แม่เหนื่อยหรอ” คุณแม่ตอบ “เหนื่อย แม่ไม่กินอะไรนะ อย่าบังคับแม่”


ตนจึงบังคับให้กินโอวัลติน พอลุกขึ้นนั่งแม่มีอาการเหนื่อยหอบ ช่วงเย็นวันดังกล่าววัดค่าออกซิเจน 85-86 % ตนตกใจมากจึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ มีเพียงอาสาสมัครที่มาดูแลใส่สายออกซิเจนไม่มีหมอมาดู หมอจะอยู่ด้านนอกแค่โทรคุยถามอาการ บอกให้ทำโน้นทำนี่ ตนเป็นผู้ป่วยต้องทำและดูแลตัวเองทุกอย่าง


กระทั่งคุณแม่ตาย ก็ยังต้องจัดการเองทุกอย่าง เปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณแม่เอง ประสานรถมารับศพ แต่ก็ไม่ได้โทษใครยอมรับชะตากรรม รู้สึกว่า “เราเป็นคนไทยแต่ได้รับการดูแลอย่างนี้เหรอ” หลังจากที่เห็นอาการของแม่เริ่มแย่ จึงขอย้ายเตียงมานอนใกล้ ๆ ติดกัน เพื่อจะได้ดูแลคุณแม่ แม่จะบ่นเหนื่อยตลอด ไม่มีแรง


ค่าออกซิเจนในเลือดต่ำลง จึงบอกแม่บ้านไปแจ้งหมอ หมอได้แต่โทรมาสอบถามอาการไม่เคยเจอตัวจริง คุณหมอประเมินอาการบอกว่า “เชื้อทำให้ปอดถูกทำลายไปเยอะ” ทั้งที่วันแรกที่มา รพ.บุษราคัม เชื้อยังไม่ลงปอด ตนได้ฟังหมอพูดเสียใจเหมือนฟ้าผ่า รู้สึกไม่มีความหวังได้แต่นั่งมองหน้าแม่


คุณหมอจะใส่ท่อช่วยหายใจแต่อาจทำให้คุณแม่ทรมาน ตนพยายามสอบถามอาการ แม่ตอบเหนื่อย ไม่ไหว จึงให้แม่นับจังหวะค่อย ๆ หายใจ จะได้เหนื่อยน้อยลง แม่บอกนับไม่ไหวมันเหนื่อย นี่น่าจะเป็นโอกาสสุดท้าย หรือไมที่ตนได้ดูแลแม่


หมอบอกว่า “จะให้หมอให้ยาไหม แม่จะได้ค่อย ๆ ไป” ตนได้ฟังคำพูดนี้ก็รู้สึกเสียใจ หมอมีแต่คำพูดที่ทำให้รู้สึกเสียใจทั้งนั้น จนคิดว่าเสียเวลาไม่อยากจะคุยกับหมอ เอาเวลาที่เหลือมาดูแลพูดคุยกับแม่ดีกว่า แม่ได้ยินว่าจะใส่ท่อช่วยหายใจ แม่บอกว่า “แม่ไม่เอานะแม่กลัว ปล่อยให้แม่ไปเถอะ แม่เหนื่อยลูก” มันรู้สึกหดหู่ใจ มันแย่มาก


ก่อนเที่ยงวันที่ 14 ส.ค. แม่ยังมีอาการเหนื่อย แต่พูดรู้เรื่องทุกคำตอบโต้ได้ ตนถามว่า “แม่โกรธหนูมั้ยที่หนูพาแม่มาที่นี่” แม่บอก “ไม่โกรธหรอกจะโกรธทำไมล่ะลูก แม่ก็ต้องมากับเอ็งอยู่แล้ว” หนูดุด่าให้กินข้าวแม่โกรธหนูมั้ย คุณแม่บอกว่า “ไม่โกรธ ๆ ไม่เคยโกรธเอ็ง เอ็งดุข้า ข้าไม่เคยโกรธเอ็งหรอก ข้ารักเอ็ง”


ลูกสาวของคุณยายเปลี่ยน เผยทั้งน้ำตาว่า “ภาพสุดท้ายที่ได้จดจำ แม่สวยมาก มีคำพูดดี ๆ แม่อวยพรให้หายไว ๆ ไม่คิดว่าตนเองจะโชคดีขนาดนี้ ที่ได้อยู่กับแม่จนวาระสุดท้าย แม้จะไม่ได้จัดงานศพให้ แต่ก่อนที่แม่จะตายตอนที่คุยได้อยู่กับแม่ตลอดเวลา แม่บอกให้แม่ไปนะลูก แม่เหนื่อย แม่แก่แล้ว แม่จะสู้ไปทำเพื่ออะไร” ตนบอกให้แม่ “สู้ ๆ” แม่บอก “จะสู้ทำไมแม่แก่มากแล้ว สู้ไม่ไหวแล้ว”


ตนรู้สึกต้องเสียแม่ไปจริง ๆ แล้ว และปล่อยให้แม่ไปสบาย ก่อนแม่จะสิ้นใจตาย ตนบอกให้แม่สวดมนต์นึกถึงพระจะได้นำพาแม่ไปในที่ดี ๆ คุณแม่ยิ้ม แล้วหลับตาลงหายใจรวยริน เหมือนจะนอนหลับแล้วสิ้นใจจากไปอย่างสงบ จากนั้นตนจึงโทรหาหมอบอกว่าไม่ต้องมาดูอาการแล้ว เพราะแม่ไปแล้ว หมอพูดว่า “คนไข้ที่เป็นโควิดก็เป็นแบบนี้” รู้สึกผิดที่ไม่ได้พาคุณแม่ กลับบ้านด้วยกัน


ตนเป็นคณะกรรมการชุมชนฯ ทุกครั้งที่ประชาสัมพันธ์เสียงตามสายว่า อย่านำเชื้อโควิดมาแพร่กระจายให้กับคนที่เรารักหรือคนในครอบครัว ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับตนเอง ทุกวันนี้ได้แต่นั่งนอนน้ำตาไหลคิดถึงแม่


ทั้งนี้หลังจากที่คุณแม่เสียชีวิต หลานสาวซึ่งไม่ได้ติดเชื้อ ช่วยประสานรถกู้ภัยมารับร่างคุณแม่ ไปเผาที่วัดสะพาน ย่านคลองเตย ก่อนนำอัฐิใส่โถเบญจรงค์ ไปทำบุญที่วัดคลองเตยนอก ทำพิธีสวด 3 คืน จากนั้นจะนำอัฐิไปลอยอังคารต่อไป



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/X8MAIGxEX04



คุณอาจสนใจ

Related News