สังคม

ผู้กองสุดช้ำ หวั่นถูกยึดบ้าน หลังเมียเซ็นค้ำประกันให้เพื่อน แฉคนกู้กินหรู อยู่สบาย ไม่สะท้าน

10 พ.ย. 2568

185 views

ผู้กองที่จังหวัดบึงกาฬ สู้สุดทางจนแทบไม่เหลือทางออก เมื่อบ้านกำลังจะถูกยึดเพราะภรรยาไปเซ็นค้ำประกันให้กับเพื่อนข้าราชการ 2.1 ล้านบาทไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แต่ไม่ยอมผ่อนชำระหนี้ จนหมายศาลมาติดหน้าบ้านคนค้ำ เตรียมยึดขายทอดตลาด ส่วนตัวผู้หลักใช้ชีวิตกินหรูอยู่สบายไม่สะทกสะท้าน

โดยร้อยตำรวจเอก พีรพล นนท์สุรัตน์ รองสารวัตรฝ่ายอำนวยการตำรวจภูธรจังหวัดบึงกาฬ หรือผู้กองลี เปิดเผยกับทีมข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ว่า เมื่อ 12 ปีก่อน (ปี 2556) ภรรยาตนออกมาเซ็นค้ำประกันเงินกู้ให้เพื่อนจำนวนกว่า 2.1 ล้านบาท ด้วยความไว้ใจ ซึ่งตอนนั้นเป็นโครงการของธนาคารรัฐแห่งหนึ่ง ที่ออกมาช่วยเหลือข้าราชการรวมถึงบุคคลทั่วไปให้จับกลุ่มกันมากู้ 4-5 คน โดยทุกคนจะต้องค้ำกันไป ค้ำกันมา หรือ ค้ำซึ่งกันและกัน และทุกคนก็มีสิทธิ์ได้เงินเหมือนกัน ตอนนั้นในกลุ่มภรรยาของตน มีทั้งหมด 4 คน ภรรยาตนเป็นผู้ค้ำที่ 4 โดยที่ไม่ใช้สิทธิ์ เอาเงินกู้แม้แต่บาทเดียว

ส่วนคนอื่นๆอีก 3 คน ทุกคน เอาเงินกู้คนละ 1-2 ล้านบาท ผู้กู้ที่ 1 เอาเงินมากสุดคือ 2.1 ล้านบาท แต่พอเวลาผ่านไปหลายปี เพื่อนของภรรยา ที่เป็นผู้กู้ที่ 1 ชำระหนี้ไม่ครบทุกงวดและขาดการชำระในที่สุด มียอดค้าง 1.8 ล้านบาท ธนาคารจึงเริ่มกระบวนการไล่ยึดบ้านของผู้ค้ำประกันแทนแต่ละคนแทน

ซึ่งตนก็ไม่เคยทราบมาก่อนเลยกระทั่งเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมาอยู่ๆมีหมายศาลและหนังสือของกรมบังคับคดีส่งมาที่บ้านว่าบ้านของตนนั้นกำลังถูกยึด เพื่อขายทอดตลาด เพื่อนำเงินไปชดใช้แทนให้กับผู้กู้ที่ 1 ผู้กองลีเล่าทั้งน้ำตาถึงนาทีนั้นที่เห็นหมายศาลแปะอยู่หน้าบ้านว่ารู้สึก จุกอกและอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าความไว้ใจที่ไปเซ็นค้ำประกันให้กับเพื่อนสนิทของภรรยาจะส่งผลกระทบและเป็นปัญหาตามมาในอีก 12 ปีให้หลัง

และสิ่งที่ทำให้ผู้กองและภรรยาเจ็บปวดที่สุด คือระหว่างที่ตนและภรรยากำลังเดือดร้อนเสี่ยงต้องสูญเสียบ้านที่ตน ทั้งคู่เก็บเงินจากน้ำพัก น้ำแรงมาสร้างบ้านของตัวเอง วันนี้กำลังจะถูกยึด แต่ผู้กู้ตัวจริงกลับใช้ชีวิตหรูหรา มีบ้าน ขับรถเบนซ์ และยังโพสต์ภาพกินดีอยู่ดีราวกับไม่ต้องรับผิดชอบต่อภาระใดทั้งสิ้น

หลังจากตั้งสติได้และรวบรวมข้อมูลต่างๆ ตนและภรรยาเกิดความสงสัยในกระบวนการยึดทรัพย์ของธนาคาร ทำไมไม่มีการสืบทรัพย์ผู้กู้รายที่ 1 และผู้ค้ำอีก 2 ราย แต่อยู่ๆ สืบทรัพย์ไปสืบทรัพย์มาจะมายึดบ้านของตนที่เป็นผู้ค้ำรายที่ 4 ซึ่งไปสืบทราบมาอีกว่าทั้ง 3 รายนั้นไม่มีทรัพย์สินเป็นของตัวเองเลย ซื้อบ้านซื้อรถเป็นชื่อของคนอื่นหมด ความซวยจึงตกมาที่ตนกับภรรยา วันนี้ตนจึงจะเดินทางไปยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด และจะปรึกษาผู้บังคับบัญชาทั้งของตนและภรรยาว่ามีแนวทางการช่วยเหลือหรือคำแนะนำอย่างไรบ้าง

ส่วนกระบวนการของธนาคารและกรมบังคับคดีตนยังสงสัยอยู่ว่า ทางกรมบังคับคดีมีการเข้ามาถ่ายรูปบ้านของตนแล้วด้วยและแจ้งกับตนว่าเตรียมขายทอดตลาด แต่พอตนสอบถามไปที่ธนาคาร ธนาคารบอกว่า ยังไม่ถึงขั้นตอนการยึดทรัพย์ขายทอดตลาด ตรงนี้จึงทำให้ตนรู้สึกสับสนและต้องการทราบความชัดเจนซึ่งเรื่องนี้ที่ตนต้องออกมาเรียกร้องเพราะอยากเป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคนด้วยว่า การค้ำประกันแม้จะทำด้วยความหวังดี ก็อาจกลับมา "พังชีวิต" ได้ พร้อมวอนขอเพื่อนที่เป็นผู้กู้ให้กลับมารับผิดชอบด้วย เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องตนและภรรยาพยายามติดต่อทวงถามก็ได้รับคำตอบว่า จะจัดการให้ จนถึงวันนี้ก็ไม่เคยทำตามที่รับปาก จนความเดือดร้อนมาถึงหน้าบ้านคนอื่นแล้ว

ผู้สื่อข่าวไปพบกับ ดร.วรรณที ศรีโนนยาง ผอ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ ต้นสังกัดของคู่กรณี เผยว่า ผู้กู้เป็นศึกษานิเทศก์ของพื้นที่เรา ส่วนคนค้ำประกันเป็นครูอนุบาลที่โซ่พิสัย ซึ่งอยู่สังกัดเขตพื้นที่เราทั้ง 2 ท่าน ต่อมาผู้กู้ไม่ส่งค่างวดธนาคาร กรมบังคับคดีได้สืบทรัพย์ไปจนถึงคนค้ำประกัน ทำให้คนค้ำประกันกังวลใจ กลัวว่าจะถูกยึดบ้าน จึงได้เข้ามาหาตน ซึ่งตนได้นัดทั้ง 2 ฝ่ายมาเจรจาวันนี้ แต่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ได้นัดทั้งคู่มาเจรจากันวันนี้ในเวลา 10 นาฬิกา จึงจะรอให้การพูดคุยที่ศูนย์ดำรงธรรมเสร็จสิ้นก่อน

สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาของเขตพื้นที่ ซึ่งกรณีนี้คนกู้ทำสัญญาแบบนำเงินไปจ่ายที่ธนาคารเอง ไม่ได้หักเงินเดือน ดังนั้นหลังจากนี้จะมีการพูดคุยกันว่า ถ้าเงินเดือนของคนกู้เหลือมากกว่า 30% เราจะหักส่งให้ธนาคารเองเลย เพราะผู้ค้ำประกันต้องการให้เขตพื้นที่ฯ ช่วยหักเงินส่งธนาคาร เพราะคนกู้ไม่ยอมส่ง ถ้าคุยกันได้เรื่องนี้ก็น่าจะจบ เรื่องนี้ผู้กู้ต้องรับผิดชอบ

กระทั่งเวลา 10 นาฬิกา นางอริตากมล ครูโรงเรียนอนุบาลโซ่พิสัย ผู้ค้ำประกัน มาที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบึงกาฬ เพื่อมาเจรจากับผู้กู้ โดยมีตัวแทนจากอัยการคุ้มครองสิทธิ์ และตัวแทนธนาคารออมสิน มาร่วมพูดคุย เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่จนถึง 11 นาฬิกา ยังไร้วี่แววของผู้กู้

ด้านนางอริตากมล พูดทั้งน้ำตาว่า ตกใจมากตอนที่ทนายธนาคารมาถ่ายรูปบ้าน เพื่อนำไปทำเรื่องบังคับคดี ตนต้องลางานไปติดต่อธนาคาร เจ้าหน้าที่บอกว่า ยังไม่ยึด เพราะคนกู้ยังจ่ายค่างวดอยู่ ซึ่งค่างวดแต่ละเดือนอยู่ที่ 9,900 บาท แต่เขาจ่ายแค่ดอกเบี้ย 2,000 กว่าบาท ซึ่งก็ยังจ่ายไม่ครบ ตนก็ยังต้องควักเงินช่วยจ่าย

จากนั้นตนก็ไปหา ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา เพื่อขอความช่วยเหลือ ผอ.รับปากว่า จะเรียกมาคุยกัน โดย ผอ.ได้เรียกคนกู้ไปคุย เขาบอกกับ ผอ.ว่า เดี๋ยวเขาจะรับผิดชอบเอง จะไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน แต่คำพูดนี้เขาพูดมาตั้งแต่ปี 2556 ตอนนี้ตนเดือดร้อนเพราะจะไม่มีบ้านอยู่ แต่พูดอะไรไม่ได้ ต่อมาทนายยังบอกว่า ธนาคารทำเรื่องยึดบ้านตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม ตนจึงโทรไปหาคนกู้อีกว่าจะถูกยึดบ้าน เขาตอบกลับมาว่า พี่สร้างหรือเปล่า ทำให้เจ็บช้ำมาก สามีจึงไปถือป้ายเพื่อขอความเป็นธรรม



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/t1HvGM-lvQY

แท็กที่เกี่ยวข้อง  เซ็นค้ำประกัน ,ยึดบ้าน

คุณอาจสนใจ

Related News