16 รุม 1! แม่ร้อง ลูก ม.2 ถูกรุ่นพี่ ม.3 รุมทำร้ายสลบคาห้องเรียน ซ้ำครูไม่ช่วย ให้ใส่นวมต่อยรุ่นพี่คืน

สายไหมต้องรอด พาผู้ปกครองและเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เข้าขอความเป็นธรรมและแจ้งความดำเนินคดีกับรุ่นพี่ ม.3 ที่ยกพวกกว่า 16 คนรุมทำร้ายร่างกายเด็ก ม.2 คนเดียวจนสลบคาห้องเรียน ทำให้แม่ช็อคเพราะเห็นคลิปและข่าวออกมา


เพจ Facebook สายไหมต้องรอด โพสต์ข้อความระบุว่า รุ่นน้องม. 2 ถูกรุ่นพี่ม. 3 ยกพวก 16 คนรุมกระทืบสลบคาห้องเรียนและมีคลิปวิดีโอขณะที่เด็กชายคนหนึ่งถูกรุมกระทืบ ทั้งเตะ ทั้งต่อย จนล่วงลงไปนอนกองกับพื้นและกลุ่มรุ่นพี่ก็มีการถ่ายคลิป คลิปนี้แชร์ส่งต่อไปยังนักเรียนในโรงเรียน ทำให้น้องเอ ที่ถูกกระทืบ อับอายจนไม่กล้าไปโรงเรียน โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นวันศุกร์ที่ 27 ม.ค. ที่ผ่านมา


โดย นางสาววิกานดา สุขเอี่ยม อายุ 30 ปี แม่ของน้องเอ (นามสมมติ) เด็ก ม.2 ที่ถูกทำร้ายร่างกาย ได้นำเรื่องนี้มาร้องขอความช่วยเหลือกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ล่าสุดช่วงเช้าที่ผ่านมานายเอกภพ ได้พาแม่และน้องเอ มาติดตามความคืบหน้าทางคดีที่ สภ.ธัญญบุรี จังหวัดปทุมธานี


ซึ่ง น้องเอ บอกว่า ตัวเองไม่รู้จักกับรุ่นพี่ที่มาก่อเหตุเป็นการส่วนตัว แต่เคยเห็นที่โรงเรียนและเคยเล่นฟุตบอลด้วยกัน วันเกิดเหตุตัวเองขับรถมอเตอร์ไซด์มาจอดตรงที่จอดรถในโรงเรียน อยู่ ๆ รุ่นพี่ชื่อ ปอนด์ เรียนอยู่ชั้น ม.3 ได้เข้ามานั่งค่อมรถจักรยานยนตร์ของตนเอง และจะขอรถของตัวเองออกไป


แต่ตัวเองไม่ให้ จึงบอกรุ่นพี่ไปว่า "พี่ปอนด์ อย่าเอารถผมไป ผมไม่ให้ครับ" ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ จึงเข้ามาหาเรื่องและกระชากคอเสื้อ พร้อมต่อยตัวเอง ตอนนั้นเด็กชายเอ บอกว่า ผมก็ต้องการที่จะป้องกันตัว จึงต่อยสวนรุ่นพี่ไป แต่ปรากฏว่ารุ่นพี่สู้ไม่ไหว จึงไปตามเพื่อน มารุมทำร้ายตัวเองจนได้รับบาดเจ็บ พร้อมข่มขู่จะเอาชีวิต หากเด็กชายเอไปแจ้งความ


โดยเด็กชายเอ บอกว่า สภาพจิตใจยังย่ำแย่อยู่และรู้สึกหวาดกลัวมาก ไม่กล้าที่จะออกไปโรงเรียน และต้องการจะย้ายโรงเรียนเพราะเกรงว่ากลุ่มคู่กรณีจะมาดักทำร้ายอีก


ขณะที่ นางสาว วิกานดา แม่ของเด็กชายเอ นักเรียนผู้ที่ถูกรุมทำร้าย ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สร้างบาดแผลให้กับลูกชายอย่างมาก ทั้งร่างกายและจิตใจ จากเดิมที่ลูกชายเป็นคนร่าเริง กลับพบว่าตอนนี้ลูกมีลักษณะคล้ายกับคนเป็นโรคซึมเศร้าและมีความหวาดกลัว ระแวง ไม่กล้าออกนอกบ้าน รวมทั้งไม่กล้าไปโรงเรียนด้วย


โดยปกติลูกชายเป็นเด็กตั้งใจเรียน เป็นนักกิจกรรม สนใจกีฬาฟุตบอล ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใคร และค่อนข้างเป็นเด็กเรียบร้อย แต่หลังเกิดเหตุ มีเพื่อนกลุ่มที่รุมทำร้ายรวมตัวกันมาพูดในลักษณะข่มขู่ บูลลี่ แม่จึงต้องการออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้ลูกชาย ยืนยันจะดำเนินคดีกลุ่มเด็กที่ก่อเหตุให้ถึงที่สุด


นอกจากนี้แม่ยังติดใจครูที่โรงเรียนที่ไม่ให้ความช่วยเหลือลูกชาย แต่กลับบอกให้ลูกชายเอาคืนรุ่นพี่ที่ก่อเหตุ โดยการให้ไปใส่นวมต่อยกับรุ่นพี่คืน แม่มองว่า เป็นการลงโทษที่ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรมกับลูกชายของเธอเลย


ด้านนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ บอกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม่ของเด็กผู้เสียหายรู้สึกติดใจการทำงานของบุคลากรในโรงเรียน เนื่องจากว่าหลังเกิดเหตุทางโรงเรียนไม่ได้มีการโทรศัพท์มาแจ้งข่าวกับทางคุณแม่เลย และคุณองเด็กก็เพิ่งมาทราบหลังจากที่ลูกชายกลับบ้าน และพบว่ามีรอยฟกช้ำเต็มตัว


นอกจากนี้ทางแม่ของเด็กผู้เสียหายยังทราบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุได้มีการถ่ายคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และนำไปปล่อยในกรุ๊ป LINE ของห้องในโรงเรียนจึงรู้สึกรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากทราบเรื่อง แม่ได้พาลูกชายเข้ามาแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา


หลังจากแม่ได้แจ้งความกับทางเจ้าที่ตำรวจเสร็จแล้ว ได้มีการติดต่อไปยังทางโรงเรียน ซึ่งทางโรงเรียนก็ได้มีการนัดเจรจากัน เป็นวันจันทร์ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่ผลปรากฏว่าทางโรงเรียนได้ทำการเพียงแค่กล่าวตักเตือนและทำทัณฑ์บนไว้เท่านั้น จึงทำให้ผู้เป็นแม่รู้สึกมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยของลูกชายเป็นอย่างมาก


ส่วนตัวคุณเอกภพ บอกว่าอยากฝากถามกระทรวงศึกษาธิการว่าหากเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ภายในโรงเรียน ทางผู้บริหารสถานศึกษาควรต้องมีส่วนรับผิดชอบหรือไม่ เพราะว่าโรงเรียนควรเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับคนทุกคน ซึ่ง ณ ตอนนี้ตนยังหาความรับผิดชอบกับทางโรงเรียนยังไม่ได้เลย อย่าเพียงแต่ไปคิดว่า ต้องปกป้องเด็กกลัวเด็กจะเสียอนาคต อยากให้มองในมุมของเหยื่อด้วย


ส่วนเรื่องทางคดีตำรวจ สภ.ธัญญบุรีบอกว่า ช่วงบ่ายของวันนี้จะมีการสอบปากคำ ด.ช.เอ ผู้เสียหาย ร่วมกับ เจ้าหน้าที่สหวิชาชีพ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง นอกจากนี้ จะประสานกับทางโรงเรียนให้นำเด็ก พร้อมผู้ปกครองเด็กที่ก่อเหตุมาให้ปากคำเพิ่มเติม หลังจากได้ข้อสรุป ตำรวจเตรียมดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/KTyfC6u4tkY