สังคม

เมียหนุ่มถูกยิงกลางโรงพัก ร้องคู่กรณีทำเกินกว่าเหตุ เตรียมเอาผิดตร.ปมระงับเหตุช้า

โดย paweena_c

19 ธ.ค. 2565

57 views

ครอบครัวผู้เสียชีวิต ถูกยิงบน สน.หลักสอง ระบุ ทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ พร้อมเตรียมปรึกษาทนายความเอาผิดตำรวจ


กรณีนายพีรสิน อายุ 27 ปี ชักปืนยิงคู่กรณี คือนายคมสัน อายุ 32 ปี เสียชีวิต บนสน.หลักสอง หลังพนักงานสอบสวน นัดมาเคลียร์คดีทำร้ายร่างกายแต่คุยไม่ลงตัว ขณะเดียวกันผู้ต้องหาไม่ได้รับการประกันตัว และตำรวจสน.หลักสองได้นำตัว ผู้ต้องหาฝากขังวันเสาร์ที่ผ่านมา


ด้าน นางสาว แอน แฟนสาวของนายพีรสิน ผู้ต้องหาที่ ก่อเหตุ กล่าวถึงสาเหตุที่แฟนหนุ่มลงมือยิง ว่ามาจากความเครียดสะสม จากเหตุที่เคยถูกกลุ่มผู้เสียชีวิตทำร้ายร่างกาย ทำให้ดวงตาได้รับบาดเจ็บ มองไม่ชัดในเวลากลางคืน ส่งผลให้ไม่สามารถออกไปทำงานได้ อีกทั้งตำรวจยังไม่ตั้งข้อหากับผู้เสียชีวิต และเพื่อนที่ก่อเหตุ ทำให้นายพีรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม และวันที่ก่อเหตุยิง ผู้เสียชีวิตมีท่าทีไม่ยอมรับผิดอีกด้วย


ส่วนค่าเสียหาย 9 ล้านบาท ที่ผู้ต้องหาเสนอไป เป็นค่ารักษาดวงตาตลอดชีวิต และตั้งไว้ เพื่อให้คู่กรณีต่อรอง แต่คู่กรณีไม่ต่อรองและโต้เถียงกลับมาจนเกิดปากเสียง


และที่หลายคนตั้งข้อสังเกตุว่า เธอใส่ที่อุดหู คล้ายกับว่า เตรียมการมาก่อนจะก่อเหตุ เธอยืนยันว่า ไม่ได้ใส่ที่อุดหู และไม่รู้ว่าแฟนหนุ่มจะก่อเหตุ เพราะหากรู้ คงไม่ยอมให้แฟนก่อเหตุแน่นอน และหลังเกิดเหตุ ที่เธอนั่งรถออกไปกับแฟนนั้น ก็ถูกแฟนไล่ลงจากรถระหว่างทาง ก่อนมาทราบภายหลังว่า แฟนหนุ่มถูกจับกุมแล้ว


ด้าน นางสาวปภาดา อายุ 32 ปี ภรรยาผู้เสียชีวิต บอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้น เกิดจากเพียงแค่การทะเลาะวิวาทกันบนท้องถนน แต่กลับกลายมาเป็นความสูญเสียถึงชีวิต จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เกิดจาก วันที่ 27 กันยายน 65 คู่กรณีต้องการจะยูเทิร์น แต่คู่กรณีไม่ได้ต่อแถวเข้าคิวเพื่อยูเทิร์นตามที่รถคันอื่นทำ สามีตนเองซึ่งตอนนั้นขับรถมาในทางตรงจึงไม่ให้ทาง สร้างความไม่พอใจให้กับคู่กรณี เมื่อคู่กรณียูเทิร์นกลับมาได้ก็ขับรถตามรถของตนมา พร้อมกับเปิดไฟสูง


จากนั้นคู่กรณีขับรถออกเลนซ้ายเพื่อแซงขึ้นข้างหน้า ยอมรับว่าตอนนั้นสามีตนก็โมโห จึงขับรถปาดกันไปกันมา สามีตนจึงหยิบขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่ดื่มแล้ว ซึ่งอยู่ในรถขว้างออกไปที่รถของคู่กรณี เพื่อจะให้คู่กรณีหยุดรถ จะได้พูดคุยเจรจากัน


ซึ่งคู่กรณีก็หยุดรถและสามีตนก็ไปจอดขนาบข้าง คู่กรณีลดกระจกลงมาพร้อมกับการถ่ายคลิป ซึ่งจังหวะนั้นก็มีการตอบโต้เถียงด้วยถ้อยคำด่าทอ และมีการเขวี้ยงข้าวของไปมาจนโดนหน้าสามีตน ทำให้สามีตนโมโห และเข้าไปต่อยคู่กรณี 1-2 ครั้งเท่านั้น


ส่วนคู่กรณีก็ต่อยสวนคืนมา จึงไม่คิดว่าจะเป็นคดีเพราะคิดว่าเป็นการทะเลาะกันระหว่างลูกผู้ชาย จากนั้นหลานชายของตนได้ลงไปห้าม ไม่ได้ลงไปรุมทำร้ายตามที่คู่กรณีกล่าวอ้าง และทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป ซึ่งในระหว่างนั้นมีพยานเห็นว่าคู่กรณีมีปืน ส่วนเรื่องการใช้สนับมือนั้นตนยืนยันว่าไม่มี ถ้ามีจริงแผลที่ใบหน้าของคู่กรณีคงไม่ใช่แค่รอยฟกช้ำ


ด้าน นางสาวปภาดา กล่าวว่า ส่วนวันเกิดเหตุ ที่สน.หลักสองนั้น ก่อนหน้านี้ตนและคู่กรณีไม่เคยมีการเจรจากันมาก่อน วันที่เกิดเหตุเป็นการนัดเจรจากันครั้งแรก โดยคู่กรณีเรียกเงิน 9 ล้านบาทจริง ซึ่งตนเป็นแม่บ้าน หาเช้ากินค่ำ จะหาเงินที่ไหนมาจ่ายในจำนวนมากมายขนาดนั้น


ซึ่งเหตุการณ์ตอนนั้นไม่ได้รุนแรง แต่เมียของคู่กรณีได้พูดขึ้นว่า ไม่คิดจะขอโทษบ้างเหรอ สามีตนที่นั่งหันหน้ามาทางพนักงานสอบสวนจึงเอี้ยวตัวไปขอโทษคู่กรณีที่ยืนอยู่ด้านหลัง ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้รุนแรง ตามที่อยู่กรณีอ้าง จึงอาจจะเป็นฉนวนเหตุที่ผู้ก่อเหตุ


ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรุนแรงเกินไป จากเหตุทะเลาะวิวาทกลายมาเป็นเหตุยิงกันตาย และไม่ได้ยิงนัดเดียว คนร้ายยิงจนหมดแม็กบนโรงพัก ซึ่งตนมองว่าตำรวจต้องเป็นที่พึงพาของประชาชน แต่กลับถูกยิงตายบนโรงพัก และอยากถามคนก่อเหตุว่า จิตใจทำด้วยอะไร ตอนที่ยิงสามี ตนและลูกก็นั่งอยู่ตรงนั้น ลูกเห็นพ่อเขาถูกยิง ล้มลงไปต่อหน้าต่อตา


อีกทั้งยังสงสัยว่าผู้ก่อเหตุ จอดรถไว้บริเวณบันไดทางขึ้นโรงพัก พกปืนเข้ามาใน สน. และยังใส่เอียร์ปั๊กสำหรับคนซ้อมยิงปืน จึงตั้งข้อสังเกตว่าถ้าไม่ได้เตรียมการมาก่อน จะมีการใส่เอียร์ปั๊กมาก่อนเพื่ออะไร


ตอนนี้อยู่ระหว่างการปรึกษาทนายความ ว่าจะดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาเกิดเหตุ เนื่องจากมองว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถ้าหากตอนนั้นตำรวจมีการระงับเหตุอย่างทันท่วงทีสามีคงไม่ตาย


พันตำรวจเอก ธีรชัย เด็ดขาด รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 9 ระบุว่า กรณีที่ญาติของผู้เสียชีวิตตั้งข้อสังเกตว่าผู้ก่อเหตุมีการเตรียมอาวุธมาเพื่อใช้ลงมือกับผู้เสียชีวิต อีกทั้งภรรยาของผู้ก่อเหตุ ที่ร่วมไกล่เกลี่ยด้วยมีการใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียงที่หู หรือ เอียปลั๊ก ลักษณะเหมือน รู้ว่าจะมีการมาก่อเหตุ


เรื่องนี้ได้มีการสั่งการให้สอบปากคำพยานแวดล้อม และภรรยาของผู้ก่อเหตุเพิ่มในกรณีดังกล่าวแล้ว หากมีพยานหลักฐานว่าภรรยาของผู้ก่อเหตุมีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้ล่วงหน้าก่อนว่าสามีจะใช้อาวุธปืนมาก่อเหตุหรือให้การสนับสนุนก็จะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง


ส่วนตัวของผู้ก่อเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งถือว่าครอบคลุมในประเด็นที่ญาติสงสัย อีกทั้งจากการสอบปากคำพยานจำนวนมากให้การสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันซึ่งเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีแต่รายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ในขณะนี้ ยืนยันตำรวจจะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาตามพยานหลักฐานที่มี


มีรายงานว่าหลังจากที่ครอบครัวผู้เสียชีวิต เตรียมที่จะฟ้องตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันเกิดเหตุ ในความผิดฐาน 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้น


ทางผู้บังคับบัญชาได้มีการสอบถาม ร้อยเวรที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันดังกล่าวแล้ว พบว่าวันเกิดเหตุเป็นวันหยุดของร้อยเวรนายดังกล่าว แต่มาช่วยปฏิบัติหน้าที่แทน จึงทำให้ไม่ได้พกปืนประจำกายมาด้วย จึงทำให้ไม่สามารถยิงตอบโต้หรือยิงสกัดกั้นผู้ต้องหาได้ในขณะเกิดเหตุ อีกทั้งบนชั้น 2 ก็มีตำรวจร้อยเวรนายนี้คนเดียวเท่านั้น ไม่มีตำรวจนายอื่นปฏิบัติงานอยู่


ทั้งนี้หากครอบครัวผู้เสียชีวิตยังติดใจการทำงานของตำรวจก็สามารถมาพบผู้กำกับการ สน.หลักสอง เพื่อสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่หากต้องการจะฟ้องดำเนินคดีก็สามารถทำได้ตามสิทธิ และตำรวจก็มีข้อมูลที่จะชี้แจงอยู่แล้ว



คุณอาจสนใจ