สังคม
'ทนายบอส' สู้กลับ! จ่อแจ้ง ม.157 ตำรวจยึดมือถือ-สอบกดดัน พนง.ดิไอคอน มองล้ำเส้นทำเกินกว่าเหตุ
โดย petchpawee_k
24 ต.ค. 2567
29 views
“ทนายบอสพอล” พาพนักงานบริษัท The iCon ลงบันทึกประจำวัน หลังตำรวจยึดโทรศัพท์ พร้อมสอบในฐานะพยานกดดันจนร้องไห้ มองเข้าข่ายทำเกินกว่าเหตุผิด ม.157 ซ้ำชวดได้โทรศัพท์คืน ลั่นวันนี้ (24 ต.ค.67) เที่ยง ถ้าไม่ได้คืนเตรียมแจ้งดำเนินคดี
วานนี้ (23 ตุลาคม 2567 เวลา 13.00 น. นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอล พาพนักงาน “ดิไอคอนกรุ๊ป” 6 คน ไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.พหลโยธิน หลังเมื่อวันที่ 22 ตุลาค ตำรวจได้เข้าค้นหาพยานหลักฐานในคดีเพิ่มเติมทั้งหมด 11 จุด ก่อนคุมตัวพนักงานมาสอบปากคำที่กองปราบฯ ตั้งแต่เวลา 12.00 - 20.00 น. พร้อมยึดโทรศัพท์ทุกคนไปตรวจสอบทั้งหมด 10 เครื่อง ไม่ให้ติดต่อใคร แต่ได้คืนกลับมาเพียง 7 เครื่อง จึงมองว่าการปฎิบัติหน้าที่ของทางตำรวจครั้งนี้ เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของพนักงานที่เข้ามาสอบปากคำในฐานะพยานเท่านั้นหรือไม่
นายวิฑูรย์ เปิดเผยว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าบุกค้น 11 จุด พร้อมตรวจยึดทรัพย์สิน ซึ่งเป็นจุดสำคัญทั้งนั้น อย่างบริษัทฯ ส่วนตัวเข้าใจและไม่ได้มีประเด็นอะไรกับการปฎิบัติหน้าที่ของทางตำรวจ เพราะมีเอกสารหมายค้น ถือเป็นการทำหน้าที่ แต่เรามองว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดคือการถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพของพนักงานทั้ง 10 คน ทั้งระดับพนักงานฝ่ายบุคคล , ผู้การจัดการทั่วไป ไปจนถึงเลขาฯ ของบอสต่างๆ รวมถึงน้องสาวของบอสพอล ถูกเชิญตัวไปสอบปากคำต่อโดยที่ไม่มีหมายมานั้น ถูกต้องหรือไม่ และสุดท้ายก็มาเขียนหมายตรงนั้น ก่อนเอาตัวเข้ามาสอบปากคำที่กองปราบฯ พร้อมยึดโทรศัพท์ และปิดเครื่อง ไม่ให้ติดต่อกับคนภายนอกเลย หรือถ้าจะติดต่อกับคนภายนอกต้องเปิดสปีคเกอร์โฟนไว้ ซึ่งเรามองว่าเริ่มเกินเลยจากที่เคยทำกันอยู่หรือไม่ และมันเกินเส้นกฎหมายไปหรือไม่ โดยส่วนตัวเข้าใจว่าเป็นการทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และเราเองก็ไม่อยากจะไปแจ้งความดำเนินคดี ม.157 กับทางตำรวจที่ทำหน้าที่ดังกล่าว
ดังนั้น จึงมาลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน ไม่ได้อยากดำเนินคดีอาญากับทางตำรวจ เพราะมองว่าไม่เป็นธรรมกับทางตำรวจ โดยตัวเองเติบโตมาในอาชีพทนายความ ก่อนหน้านี้ใหม่ๆ ก็เคยอยู่ที่สำนักงานกฎหมายมารุต บุนนาค เป็นลูกศิษย์ของท่านมารุต อาจารย์สอนอยู่เป็นประจำว่า “อย่ารังแกข้าราชการ ผมก็จะไม่รังแกข้าราชการ” เพียงแต่ว่าครั้งนี้ต้องมีการควบคุมดูแลกันนิดหน่อย และการลงบันทึกประวัน ก็เอาใช้ยันในชั้นศาลได้ในอนาคต หากจำเป็นจะต้องดำเนินคดีกับทางตำรวจ
ทั้งนี้ ได้สอบถามทางพนักงานที่ถูกยึดโทรศัพท์ไว้ว่าได้เซ็นยินยอมหรือไม่ ทุกคนบอกว่า เซ็นยินยอม เพราะหากว่าไม่เซ็น ก็กลัวว่าจะไม่ได้กลับบ้าน และยังใช้ตำรวจหลายคนมาบังคับโดยกลาย ซึ่งจากสภาพคนที่ไม่เคยโดนตำรวจเชิญตัวอะไรแบบนี้ จึงได้เซ็นไป โดยเมื่อวานนี้หลังจากตัวเองได้ให้หลักฐานกับทางบิ๊กเต่าเสร็จ ก็ได้เข้าไปดูพนักงานที่ถูกเชิญตัวมาสอบปากคำ ก็พบว่าแยกสอบแต่ละห้อง และห้องก็เต็มไปด้วยตำรวจ แต่ท่านก็ ไม่ได้ทำอะไร เพียงแต่สภาพแวดล้อมการทำหน้าที่ ไม่เอื้อให้เขาได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างหรือไม่ แถมยังถูกคุมตัวไว้เป็นเวลานานหลายชั่วโมง มันเกินเรื่องไปหรือไม่ เพราะมาสอบปากคำในฐานะแค่พยานแค่นั้น ไม่ได้เป็นผู้ต้องหาหรือผู้ถูกกล่าวหาเลย
ส่วนเมื่อถามว่าไม่เซ็นได้หรือไม่ นายวิฑูรย์ ย้อนถามกลับว่า “ถ้าไม่เซ็นได้หรือไม่ ถ้าไม่เซ็นจะได้กลับบ้านหรือเปล่า” ทุกคนที่เซ็น เพราะกลัวจะไม่ได้กลับบ้าน กลัวจะมีคดี ทุกคนจึงมองว่าลักษณะมันคล้ายๆ การถูกคุกคาม อย่างเลขาฯ บอสปัน เป็นผู้หญิงคนเดียว แต่ถูกตำรวจรายล้อมจำนวนมาก แม้จะไม่ได้ทำอะไรก็ตาม
ขณะที่นางสาวเอ (นามสมมุติ) เป็นหนึ่งในพนักงานของ “ดิไอคอนกรุ๊ป” ที่ถูกตำรวจเชิญตัวไปให้ข้อมูลหลังเข้าค้น 11 จุด ได้เปิดเผยว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปเชิญตัวมาให้ปากคำ มีเพียงหมายค้น แต่ไม่หนังสือเชิญตัวแต่อย่างใด โดยหนังสือเชิญตัวถูกเขียนขึ้น ณ จุดเกิดเหตุ จึงทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยในการทำงานของตำรวจ อีกทั้งระหว่างที่ถูกควบคุมตัวมีการบันทึกภาพ และวิดีโอไว้ตลอด ซึ่งในมุมของเธอที่เป็นประชาชน ก็รู้สึกว่า ตัวเองไม่ใช่ผู้ต้องหา จึงเดินทางเข้ามาบันทึกประจำวันในวันนี้เพื่อเป็นหลักฐาน
ส่วนการสอบถามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นางสาวเอ ระบุว่ามีลักษณะการชี้นำ และถามว่ามีตำแหน่งในบริษัทหรือไม่ ซึ่งเธอก็ได้ตอบไปแล้วว่าเป็นเพียงแค่พนักงานทำงานตามหน้าที่ และเจ้าหน้าที่พูดหว่านล้อม จนทำให้หวาดกลัวตลอดการสืบสวนสอบสวนหลายชั่วโมง ซึ่งมีเจ้าที่พูดกับเธอว่า "วันนี้เป็นพยาน พรุ่งนี้อาจจะเป็นผู้ต้องหาก็ได้" ทำให้เธอรู้สึกกลัว และร้องไห้ออกมา
และประเด็นเรื่องการยึดโทรศัพท์ เธอระบุว่ามีการสอบปากคำเธอตั้งแต่เวลา 12.00 - 20.00 น ใช้เวลาทั้งหมด 8 ชั่วโมง และมีการยึดโทรศัพท์ไปตั้งแต่แรก ทำให้ทุกคนไม่สามารถที่จะติดต่อหาทางครอบครัวได้ โดยในเรื่องการเซ็นเอกสารยินยอมนั้น ในเอกสารระบุข้อความกว้างๆ ว่า เพื่อความยินยอมให้นำโทรศัพท์ตรวจสอบเพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้ระบุว่าเอกสารดังกล่าวจะยินยอมหรือไม่ยินยอมก็ได้ เพราะเป็นสิทธิของพยาน ทำให้เธอเซ็นไปแต่แรก
พร้อมบอกว่าเธอทำงานที่บริษัทดิไอคอนกรุ๊ปกับบอสพอลมาได้ 2 ปี ก็มีความสนิทสนมกันในฐานะนายจ้างกับลูกจ้าง ส่วนตัวไม่ทราบระบบในบริษัท เพราะดูแลเฉพาะพนักงานหรือฝ่ายบุคคลเท่านั้น และเมื่อถามว่าขณะนี้บอสพอลถูกจับอยู่ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เรื่องเงินเดือนของพนักงานจะได้อย่างไร นางสาวเอ ระบุว่า อย่างที่ทราบว่าบัญชีของบริษัทมีการถูกอายัดไว้ ทำให้ตอนนี้พนักงานทุกคนต้องดูแลช่วยเหลือกันไปเองก่อน และจะให้ทนายความช่วยดูแลในเรื่องของเงินเดือนของพนักงานทั้งหมด
ช่วงหนึ่งนางสาวเอ ยังกล่าวถึงบอสพอลในฐานะหัวหน้าของตัวเองว่า บอสพอลเป็นเจ้านายที่ดีมากๆ รักลูกน้องทุกคนมากๆ พวกเราทุกคนได้รับการดูแลเป็นอย่างดีอยู่กันเหมือนพี่น้อง ให้ความช่วยเหลือตลอด ขณะเดียวกันต้องบอกว่าในมุมการทำงานบอสพอลเป็นทั้งอาจารย์ เป็นทั้งครูในการสอนและให้แนวทางในการดำเนินชีวิตสำหรับแต่ละคนว่า “ให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ”
ทั้งนี้ช่วงก่อนที่บอสพอลจะโดนควบคุมตัว บอสพอลยังได้ให้กำลังใจทุกคนอีกด้วย พร้อมบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ทุกคนอย่าเป็นกังวล ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
ต่อมา เวลา 17:20 น. นายวิฑูรย์ เก่งงาม ทนายความ ของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือพอล พาพนักงานบริษัท ดิไอคอน 7 คน จากสน.พหลโยธิน มาพบกับพนักงานสอบสวนตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อขอนำหลักฐานโทรศัพท์มือถือ ที่ถูกยึดไปตรวจสอบ ผ่านไปเกือบชั่วโมง ได้ออกมาเปิดเผยว่า รู้สึกเหมือนถูกเจ้าหน้าที่โยนกันไปมา เพราะก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะได้โทรศัพท์คืนวานนี้ แต่เมื่อมาถึงกลับไม่มีคำตอบและไม่ได้โทรศัพท์คืน ทำให้พนักงานติดต่อใครไม่ได้ เปรียบเหมือนคนตาบอดไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้ ซึ่งวันนี้ได้รับแจ้งจากตำรวจปอท.ว่า ต้องให้เจ้าหน้าที่ที่นำโทรศัพท์มาส่งให้ตรวจสอบมารับคืนเอง และไม่สามารถบอกได้ว่าจะได้คืนเมื่อไหร่
ทั้งนี้ นายวิฑูรย์ ยืนยันว่า โทรศัพท์มือถือที่ถูกยึด ไม่ใช่ของกลางในคดี เพราะเป็นของพยาน ส่วนเจ้าหน้าที่จะบังคับหรือล่อลวงให้เซ็นเอกสารอย่างไรก็ตามแต่ไม่ว่ากัน แต่วันนี้มาขอคืนจะได้จบ ดังนั้นเมื่อไม่ได้คืน ดังนั้นวันนี้ (24 ต.ค.67) จะเดินทางมาขอคืนอีกครั้ง และให้เวลาถึง 12.00 น. หากยังไม่ได้คืน จะแจ้งความดำเนินคดีม.157 กับตำรวจปคบ.แทน
ขณะที่หนึ่งในพนักงานของบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือมีน้ำตาคลอ ว่า อยากได้โทรศัพท์คืนเพราะต้องการติดต่อมารดาที่อายุมากและป่วย ตั้งแต่ถูกเรียกสอบสวนก็ยังไม่สามารถติดต่อได้ รวมถึงธุรกรรมทางการเงินก็ไม่สามารถทำได้อยากจะขอความเห็นใจจากเจ้าหน้าที่
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/aI15SB90lTU
แท็กที่เกี่ยวข้อง ดิไอคอนกรุ๊ป ,ทำเกินกว่าเหตุ ,ทนายบอส ,ตำรวจยึดมือถือ ,พนง.ดิไอคอน