สังคม

ลูกชายแฉเอง พ่อลักไฟหลวงใช้ในโรงงานน้ำแข็ง ยอมถูกตัดจากกองมรดกดีกว่าติดคุก

โดย nicharee_m

29 มี.ค. 2567

976 views

ลูกชายดับเครื่องชน พ่อแอบลักไฟหลวงใช้ในโรงงานทำน้ำแข็ง ร้องเรียนไปปีกว่าเงียบ พบมีเจ้าหน้าที่ไฟฟ้า เผยยอมถูกตัดจากกองมรดกดีกว่าติดคุก

วันที่ 28 มี.ค.67 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายแอล (นามสมมุติ) อายุ 39 ปี อดีตผู้จัดการโรงงานน้ำแข็งแห่งหนึ่งในเขตอำเภอเมืองนนทบุรี ว่า ตนเป็นลูกชายคนโตของเจ้าของโรงงานน้ำแข็งชื่อดังในจังหวัดนนทบุรี เคยทำหน้าที่เป็นผู้จัดการโรงงานน้ำแข็งแห่งนี้มานานหลายปี ก่อนจะตัดสินใจลาออกจากโรงงานเมื่อวันที่ 1 พ.ค.65 หลังตนได้ล่วงรู้ความจริงว่า โรงงานผลิตน้ำแข็งของพ่อตน มีการลักลอบแอบพ่วงไฟฟ้าหลวงมาใช้ในการผลิตน้ำแข็งออกขาย

หลังทราบความจริงตนจึงได้ทักทวงให้พ่อหยุดการกระทำดังกล่าว แต่พ่อกลับอ้างว่าไม่ได้ทำ จากนั้นเมื่อตนนำค่าไฟฟ้าย้อนหลังในแต่ละปีมาตรวจสอบดูก็พบว่ามีความผิดปกติอยู่ จากเดิมที่เคยจ่ายอยู่เดือนละเกือบ 4 แสนบาท กลับมาเหลืออยู่เพียง 2 แสนกว่าบาท ทำให้ตนเองตัดสินใจขอลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการโรงงานน้ำแข็งดังกล่าว

เพราะเกรงว่าวันหนึ่งหากทางโรงงานน้ำแข็งของพ่อตนถูกร้องเรียนและตรวจสอบ เหมือนคราวที่ถูกเจ้าหน้าที่บุกตรวจค้นเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวหรือค้ามนุษย์แบบครั้งก่อน ตนจะถูกดำเนินคดีแล้วติดคุกอีกครั้ง เพราะในครั้งนั้นที่ตนต้องขึ้นศาลไปถูกพิจารณาในฐานะผู้จัดการโรงงาน ศาลยังได้ตักเตือนตนเอาไว้ว่า อย่าไปมีส่วนรวมในความผิดทำนองนี้อีก เมื่อรู้ว่ามีความผิดแล้วแต่ไม่ทักทวงหรือห้ามปราม ก็เท่ากับรู้เห็นเป็นใจให้กระทำการนั้นไปด้วย จึงเป็นเหตุทำให้ตนเองตัดสินใจเดินเข้าไปบอกกับพ่อ เจ้าของโรงงานน้ำแข็งว่า ตนขอลาออกจากการเป็นผู้จัดการโรงงานแล้วช่วยเอาชื่อตนออกจากโรงงานไปด้วย

ตนไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับโรงงานแห่งนี้อีกต่อไป และตนได้เปลี่ยนชื่อแล้วกลับไปใช้นามสกุลของแม่แทน ส่วนเรื่องมรดกในอนาคตนั้น ตนเองไม่คาดหวังอยู่แล้ว ยอมรับในสิ่งที่ตนได้ตัดสินใจลงไปและยอมให้พ่อตัดชื่อออกจากกองมรดกยังดีกว่าที่ตนเองได้รับมรดกมาแล้วต้องมาติดคุกแทน โดยที่ไม่ได้ใช้เงิน แบบนั้นตนยอมถูกตัดชื่อไม่มีอะไรดีกว่า มีแรงมีลมหายใจก็สร้างด้วยตัวเองได้

นายแอล กล่าวอีกว่า หลังตนเองลาออกจากโรงงานมาได้ปีกว่าๆ ตนได้นำพยานหลักฐานต่างๆ ที่โรงงานแอบพ่วงไฟฟ้าหลวงมาใช้ในการผลิตน้ำแข็งส่งไปให้ทางการไฟฟ้ารับทราบข้อมูลเพื่อทำการตรวจสอบ แต่ปรากฏว่าเรื่องไม่มีความคืบหน้าอะไรกลับมาเลย

แถมยังมีคนจากการไฟฟ้าแอบนำเอาเรื่องร้องเรียนไปบอกกับพ่อของตนก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าลงมาตรวจสอบในโรงงาน จนทำให้พ่อของตนตั้งหลักได้ทัน ด้วยการส่งลูกน้องมาแก้ไขด้วยการเอาสายไฟฟ้าที่พ่วงออกไป และมีการพูดคุยตกลงกันกับเจ้าหน้าที่ไฟฟ้าในภายหลังว่า เกิดจากปัญหาอุปกรณ์ชำรุด

จึงทำให้ตนข้องใจเกี่ยวกับระบบการทำงานของเจ้าหน้าที่ไฟฟ้าในพื้นที่ว่า รู้เห็นเป็นใจกับทางโรงงานปล่อยปะให้มีการลักลอบเกี่ยวไฟฟ้าหลวงมาใช้ในโรงงานแห่งนี้หรือไม่ เพราะตนร้องเรียนพร้อมกับส่งพยานหลักฐานให้ทั้งหมดแล้ว แต่เรื่องก็เงียบเหมือนไม่มีการกระทำผิดเกิดขึ้นเลย

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าตนต้องการร้องเรียนให้ตรวจสอบเงียบๆ เท่านั้น แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบชี้แจงใดๆ ตนจึงจำเป็นต้องร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวแทน แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นการร้องเรียนพ่อแท้ๆของตนเองก็ตาม ซึ่งตนคิดว่าใครทำผิด คนๆ นั้นก็ต้องรับกรรมที่ทำไว้ไป ไปให้ลูกหรือคนอื่นมารับกรรมแทนไม่ได้ และคนเราเมื่อทำผิดมาแล้วก็ไม่ควรจะทำผิดอีกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อพ่อกระทำผิดก็ต้องรับผลกรรมที่ทำนั้นด้วย

นายแอล อดีตผู้จัดการโรงงานน้ำแข็ง ยังกล่าวอีกว่า หลังตนลาออกมาได้ปีกว่าๆ แล้ว ก็ไม่รู้ว่าปัจจุบันโรงงานแห่งนี้ของพ่อเลิกแอบพ่วงไฟฟ้าหลวงมาใช้อีกหรือไม่ เพราะตนได้ท้วงติงก่อนจะขอลาออกไปแล้วว่า ขอให้พ่อหยุดการกระทำแบบนี้ แม้ตนจะถูกพ่อด่ากลับมาว่าไอ้ลูกทรพีก็ตาม แต่ตนก็ยังรู้สึกสบายใจมากกว่าที่ลาออกมาทำงานหากินแบบสุจริต ดีกว่าไปมีตำแหน่งแล้วนั่งรอว่าวันหนึ่งวันใดตนจะต้องติดคุกอีกครั้งเพราะพ่อ

คุณอาจสนใจ

Related News