สังคม
แม่ร้อง ฝากผัวเมียทหารเลี้ยงลูก แต่ถูกกีดกันไม่ให้เจอ 3 เดือน ใช้เป็นเครื่องมือ ต่อรองใช้หนี้ค่ารถ
โดย nut_p
26 ก.พ. 2567
82 views
ทีมงานเป็นหนึ่ง พาแม่บุกทวงลูกสาววัย 6 ขวบ จากครอบครัวทหาร หลังถูกกีดกันไม่ให้เจอ 3 เดือน ใช้เป็นเครื่องมือต่อรองให้ชดใช้หนี้ ด้านคู่กรณียันถูกใส่ร้าย พร้อมคืนลูกสาวให้โดยดี ส่วนเรื่องหนี้สินให้เรื่องของกฎหมาย
จากกรณี คุณแม่ของเด็กหญิงวัย 6 ปี ร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิเป็นหนึ่ง ระบุว่า ถูกนายทหาร ภรรยานายทหาร และเจ้าหนี้ รวมหัวกันกักขัง และใช้ลูกสาวของผู้ร้อง เป็นเครื่องมือต่อรองให้ใช้หนี้ ซึ่งทางคุณแม่ที่เป็นผู้ร้องขาดการติดต่อกับลูกสาวมานาน 3 เดือนแล้ว
โดยผู้ร้องเรียนเล่าว่า ตนเองได้หย่าร้างกับอดีตสามี และได้พาลูกสาวไปฝากเลี้ยงกับเพื่อนของคุณน้าที่เป็นนายทหาร และภรรยาคู่หนึ่ง ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2562 ซึ่งตนรู้จัก และสนิทสนมกันมานานกว่า 10 ปี โดยตนนับถือเหมือนพ่อแม่ของตัวเอง ซึ่งทั้งสองคนอาศัยอยู่ในค่ายทหารแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา โดยตนได้จ่ายค่าจ้างเลี้ยงดูให้เดือนละะ 10,000 บาท ให้ทุกเดือน และตนต้องบินไปทำงานที่ต่างประเทศทุกเดือน แต่ตนก็กลับมาเยี่ยมลูกสาวเป็นประจำทุกเดือนเช่นกัน โดยตนได้จ่ายค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูกสาว เช่น ของกิน ของใช้ ค่าเทอม ค่าเรียนเสริม และค่ากิจกรรมต่างๆ
นอกจากนี้ตนยังติดแอร์ ติดผ้าม่าน ติดตั้งประตูกระจก ซื้อเฟอร์นิเจอร์ให้กับบ้านหลังใหม่ของสามีภรรยาคู่นี้ และซื้อรถยนต์ 2 คัน เป็นรถเก๋ง มาสด้า 2 และรถมาสด้า CX5 ให้กับทั้งคู่ไว้ใช้ขับรับส่งลูกสาวของตนไปโรงเรียน โดยตนเป็นคนดาวน์รถ และผ่อนส่งทุกเดือน แต่ใช้ชื่อของนายทหารเป็นคนออกรถ
จนกระทั่งช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก ตนไม่สามารถทำงานได้ การเงินติดขัด เริ่มค้างค่างวดรถยนต์ทั้ง 2 คัน ตอนนั้นทุกประเทศปิด ตนติดอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย จึงได้ปรึกษากับเพื่อนคนนึงชื่อ ม. เพื่อนคนนี้ใจดีมากให้ตนยืมเงิน 220,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 บาทต่อเดือน แต่สถานการณ์การเงินของตนก็ยังไม่ดีขึ้น เพราะตนต้องจ่ายทั้งค่างวดรถ ค่าใช้จ่ายลูก ค่าจ้างเลี้ยงดู และค่าดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินต่างๆ รวมแล้วมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 70,000 บาทต่อเดือน จนตนไม่ไหว และก็ถูก ม. ยึดรถมาสด้า CX5 ไป โดยบอกว่าถ้าอยากได้รถคืนก็ให้หาเงินมาจ่าย 300,000 บาท แต่ตนก็จนปัญญา
จนกระทั่งช่วงปลายปี 2566 ตนติดต่อไปหา ม. เนื่องจากรถมาสด้า CX5 ขาดส่งค่างวดมา 1 ปี และไฟแนนซ์ต้องการยึดรถคืน โดยตนต้องการขอทำสัญญาเงินกู้ และขอผ่อนชำระกับ ม. เดือนละ 20,000 บาท จนครบตามยอดที่ ม. ต้องการ แต่ ม. ไม่ยอม และยืนยันว่าตนต้องจ่ายเงิน 280,000 เท่านั้น ถึงจะให้รถมาสด้า CX5 กลับคืนไป ขณะที่ทางสามีนายทหาร และภรรยาก็ยืนยันให้ตนจัดการเรื่องรถให้เสร็จเรียบร้อย เพราะหากยังจัดการไม่เสร็จก็จะไม่ให้ตนรับลูกสาวกลับมา ซึ่งขณะนี้เป็นเวลา 3 เดือนแล้ว ที่ตนไม่สามารถติดต่อลูกสาวได้
ล่าสุดวันนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2567) น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง พร้อมทีมงาน และคุณแม่ของเด็กหญิงวัย 6 ปี ได้เดินทางไปที่จังหวัดนครราชสีมา เพื่อช่วยเหลือนำลูกมาคืนให้กับผู้ร้องเรียนซึ่งเป็นแม่ของเด็ก โดยได้พา นางสาวแก้ว (นามสมมติ) อายุ 34 ปี ผู้ร้องเรียนเดินทางไปที่บ้านพักเด็ก และครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา พบกับ นางสาวภัทรานิษฐ์ ก่อกุศล หัวหน้าบ้านพักเด็ก และครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา เพื่อชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
นางสาวแก้ว เปิดเผยว่า ที่ตนออกมาเรียกร้อง ไม่ได้มีจุดประสงค์จะเอาเรื่องอะไรกับใคร เพียงแต่ต้องการนำลูกสาวกลับคืนมาเท่านั้น เพราะตั้งแต่เลิกกับสามีไปเมื่อปี 2562 ตนก็ไม่มีญาติอยู่ใน จ.นครราชสีมา ตนรู้จักเพียงนายทหาร และภรรยาคู่นี้ ตนจึงนำลูกไปฝากเขาเลี้ยง และก็เกิดเรื่องราวที่ร้องเรียน ซึ่งเรื่องของหนี้สินของตนก็ให้ว่ากันไปตามกฎหมาย แต่ตนเองขอเพียงลูกสาวกลับคืนมาก่อนเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง ก็ได้โทรศัพท์สอบถามครูที่โรงเรียนของเด็ก ซึ่งครูของเด็ก เปิดเผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา เด็กไม่ได้มาเรียน ทั้งที่เป็นช่วงจัดกิจกรรมซ้อมรับวุฒิบัตร ทั้งที่ครูก็ส่งข้อความเข้าไปในไลน์กลุ่มผู้ปกครองว่า วันดังกล่าวจะมีกิจกรรมนี้ แต่เด็กก็ไม่มาเรียน ทำให้ครูสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่ปกติแล้วครูก็จะติดต่อกับแม่ของเด็กเป็นประจำ ถ้าเด็กขาดอะไรแม่ของเด็กก็จะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ตลอด
และครูก็ยืนยันว่าไม่เคยทวงค่าเทอมแต่อย่างใด แต่ก็ถูกคู่สามีภรรยาครอบครัวทหารดังกล่าวโยนความผิดว่า ครูชอบทวงค่าเทอมเป็นประจำ เพราะแม่ของเด็กก็จ่ายค่าเทอมให้ตลอดอยู่แล้ว ถ้ายังไม่พร้อมจ่าย ก็มีการขอเลื่อนจ่ายได้ ส่วนครอบครัวทหารไม่เคยจ่ายค่าเทอมให้เลย แม้แต่คาบเรียนบางคาบเรียนที่แม่ของเด็กลืมจ่าย เขาก็ไม่เคยควักเงินจ่ายให้ ก็จะให้งดเรียนคาบนั้นไปเลย และบ่อยครั้งที่เด็กจะถูกคาดคั้นว่าวันนี้ครูให้ทำอะไรบ้าง ซึ่งช่วงหลัง ๆ มานี้สังเกตได้ว่าสภาพจิตใจของเด็กเริ่มแย่ลง จากเด็กที่เคยร่าเริง ก็กลายเป็นเด็กที่เริ่มซึมเศร้า ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง
ต่อมา พันเอกอดิเรก วสันต์สกุล ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 3 กองทัพภาคที่ 2 ได้นำคณะของ น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง พร้อมด้วยทีมงาน เดินทางไปที่กองพันทหารราบที่ 2 ภายในค่ายสุรนารี เพื่อให้แม่ของเด็กพบกับครอบครัวนายทหารคู่กรณี ซึ่งเป็นเป็นนายทหารยศร้อยตรี โดยทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยทำความเข้าใจกันนานกว่า 1 ชั่วโมง
นายทหารยศร้อยตรีคู่กรณี เปิดเผยว่า เมื่อปี 2562 คู่กรณีได้นำลูกสาวมามาให้ครอบครัวตนเลี้ยงดู โดยแม่เด็กสัญญาว่าจะส่งเงินมาให้เดือนละ 10,000 บาท ซึ่งตนเองก็รับเลี้ยงดูให้ ทั้งที่ตนเองก็มีลูกอยู่แล้วเหมือนกัน ต่อมาแม่เด็กก็ไปซื้อรถยนต์มาสด้า 2 มาให้ใช้ โดยบอกว่าจะจ่ายเงินผ่อนรถให้ แต่เป็นชื่อของตนในการเช่าซื้อ ซึ่งหลังจากนั้นก็จ่ายค่างวดรถบ้าง ไม่จ่ายบ้าง ตนเองก็จ่ายให้ก่อน ต่อมาก็ออกรถอีกคันเป็นรถมาสด้า CX5 โดยแม่ของเด็กออกเงิน 200,000 บาทดาวน์รถให้ และใช้ชื่อของตนเองซื้อเหมือนคันแรก แต่หลังจากนั้นก็ไม่ผ่อนค่างวด และไฟแนนซ์ก็โทรมาบอกว่าจะมายึดรถคืนไป แต่ตนมารู้อีกที่ว่าคู่กรณีได้มีการไปยืมเงินเพื่อน แล้วไม่ใช้คืนให้เพื่อน เพื่อนเขาจึงยึดรถมาสด่ CX5 ไว้ เมื่อตนสอบถามก็บอกว่ากำลังจะไปจ้างทนายสู้คดีในเรื่องนี้
ส่วนเรื่องการกีดกันเด็กกับคู่กรณีที่เป็นคุณแม่นั้น ตนเองยืนยันว่าไม่มี และไม่ได้มีการนำเด็กมาเป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อให้ชดใช้หนี้สินแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าช่วงนี้ตนไปออกสนาม ซึ่งตนเองยืนยันว่า ตนเองเลี้ยงดูแลเด็กเป็นอย่างดี ถ้าอยากได้ลูกคืน ตนเองก็พร้อมที่จะคืนให้ ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น อยากให้เรื่องนี้จบกันด้วยดี ส่วนเครื่องหนี้สินก็ให้ว่ากันไปตามกฎหมาย
โดยหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็ก และครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา ได้นำตัวคุณแม่ไปพบกับลูกสาววัย 6 ขวบ และได้พาตัวเด็กหญิงไปฝากไว้ที่บ้านพักเด็ก และครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ต้องให้เด็กพักอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง เพื่อปรับสภาพจิตใจของเด็ก หลังจากนั้นจะประสานครอบครัวเด็ก ทั้งพ่อ และแม่ของเด็กเพื่อตกลงกันว่าจะให้เด็กไปอยู่กับใคร ซึ่งเบื้องต้นแม่ของเด็กแจ้งว่า ได้คุยกับพ่อเด็กแล้ว ว่าจะให้มารับลูกไปอยู่ด้วย โดยพ่อของเด็กอาศัยอยู่ในตัวเมืองนครราชสีมา ส่วนโรงเรียนก็คาดว่าจะต้องย้ายจากโรงเรียนเดิม เพื่อให้เด็กได้มีสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ จะได้ไม่มีความกังวลใจ และไม่กระทบผลการเรียน