สังคม
ครบ 61 วัน เพลิงไหม้ บ.วินโพรเสส คดียังอยู่ระหว่างสอบ ด้านชาวบ้านรอขนย้ายกากออกพื้นที่
โดย parichat_p
23 มิ.ย. 2567
88 views
วันนี้ครบรอบ 61 วัน ของเหตุเพลิงไหม้โรงงานลักลอบเก็บกากสารเคมีของบริษัทวิน โพรเสส จ.ระยอง ซึ่งคดีเพลิงไหม้ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ และนาย โอภาส บุญจันทร์ ก็ถูกดำเนินคดีฐานลักลอบปล่อยสารเคมีของเสียอันตรายลงแหล่งน้ำธรรชาติ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา มีการเรียกร้องจากชาวบ้านให้ย้ายกากสารเคมีออกจากพื้นที่โดยเร็ว และอีกด้านหนึ่งก็มีการขยายผลไปยังโรงงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องในหลายจังหวัด โดยพบว่า 4 จังหวัดที่เชื่อมโยงกัน ต่างก็มีสารเคมี ถูกลักลอบฝังไว้เหมือน
ซากของสารเคมีที่ถูกเพลิงไหม้ในโรงงาน บริษัทวินโพรเสส อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ยังกองพะเนินอยู่ในอาคารโรงงานในสภาพที่แทบไม่เหลือหลังคาไว้ป้องกันแดดฝน กากสาร เคมีที่เป็นของเหลวหลายชนิด ที่ไหลทะลัออกจากถึง จึงยังเจิ่งนองพื้นโรงงาน และพร้อมจะไหลลงที่บ่อดัก ทันทีที่มีฝนตกหนัก
อย่างไรก็ตาม บ่อน้ำที่ใช้ดักน้ำฝนป้องกันไม่ให้ทะลักลงสู่ชุมชนหนองพะวา ก็อยู่ในสภาพน่ากังวลเช่นกัน เพราะหากฝนตกหนักติดต่อกัน จะทำให้เกิดความกังวลใจอย่างน้อย 2 ด้าน คือกังวลว่าน้ำปนเปื้อนสารเคมีจะล้นบ่อดักหรือไม่และกังวลที่สองคือคันดินที่เสริมบ่อขึ้นใหม่นั้นจะทรุดหรือพังลงหรือไม่
ซึ่งข้อกังวลดังกล่าว อบจ.ระยอง ได้บรรเทาด้วยการเสริมคันดินให้สูงขึ้น และบดทับคันดินให้แน่นขึ้นเพื่อหวังว่าจะต้านทานปริมาณน้ำที่จะเพิ่มขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าสิ่งที่จะทำให้ชาวบ้านหนองพะวา อุ่นใจมากที่สุดแต่ยังไม่เกิดขึ้นคืออยากเห็นความคืบหน้าการขนย้ายกากสารเคมีเหล่านี้ที่เป็นต้นเหตุของปัญหา ออกจากพื้นที่โดยเร็ว
ในขณะที่การจะขนย้ายกากสารเคมีเป็นไปอย่างล่าช้า เพราะส่วนหนึ่งจำเลย คือนายโอภาส บุญจันทร์ ใช้สิทธิ์ตามกฎหมายคัดค้านการนำเงิน 4.9 ซึ่งวางไว้ที่ศาลไปให้ กรมโรงงานอุตสาหกรรมนำไปแก้ปัญหาเบื้องต้น ทำให้ต้องสู้คดีในประเด้นนี้ทั้งในชั้นอุทธรณ์ ซึงใช้เวลาอีกนาน ขณะที่การจะของบกลาง ก็ไม่ง่ายเพราะกระทรวงอุตสาหกรรม ต้องการให้สำรวจพื้นที่ซึ่งมีปัญหาทั้งที่ระยอง /อยุธยา/เพชรบรูรณ์ /และนครราชสีมา ให้ได้รายละเอียดที่ชัดเจนเพื่อของบกลางในครั้งเดียว ซึ่งก็ใช้เวลานานเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ชัดเจนมากที่สุดตอนนี้คือการเดินหน้าออกคำสั่งปิดโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงถึงกัน ทั้งที่ระยอง /พระนครศรีอยุธยา /นครราชสีมา และที่เพชรบุรณ์ พร้อมกับขุดค้นหาหลักฐานการลักลอบฝังกากสารเคมี ซึ่งพบหลักฐานทุกจุด
โดยครั้งล่าสุด ที่บริษัทเอกอุทัย สาขาศรีเทพ เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว ที่นั่นพบกากสารเคมีหลายชนิด โดยเฉพาะของเหลวที่เป็นกลุ่มปิโตรไฮโดรคาร์บอน หรือน้ำมันเครื่องเก่า โซเว้นท์ หรือตัวทำละลายเก่า ที่ลักลอบฝังไว้ ซึ่งเมื่อขุดขึ้นมาก็พบการทำปฎิกิริยาของสารเคมีอย่างรุนแรง ผู้เชี่ยวชาญกรมทรัพยากรธรณี ยืนยันว่าจุดที่ขุดนั้น มีหลักฐานจากภาพถ่ายทางอากาศว่ามีการลักลอบฝังไว้ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้น
หลักฐานที่ปรากฎดังกล่าว ก็ทำให้ชาวบ้านม่วงชุม ที่ได้รับผลกระทบมานาน เรียกร้องเช่นกันว่า ภาครัฐควรต้องหาทางฟื้นฟูสภาพแหล่งน้ำที่นี่และแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นโดยเร็ว
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา การขุดสำรวจพื้นที่ของกรมป่าไม้ ซึ่งบริษัทเอกอุทัย สาขากลางดง เคยใช้ประโยชน์ที่นั่น และมีคลิปการเทกากสารเคมีลงพื้นที่ ผลปรากฎว่า การขุดดังกล่าว ก็พบกากสารเคมีโดยเฉพาะของเหลว กลุ่มปิโตรไฮโดรคาร์บอนฝังกลบที่นั่น ขณะที่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ที่มีการขุดสำรวจในบริษัทเอกอุทัย สาขา สามบัณฑิต อำเภออุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา พบทั้งการลักลอบฝังในพื้นที่โรงงาน /พ้นที่นอกรั้วโรงงาน ลักษณะกากสารเคมีที่ฝัง มีฤทธิ์เป็นกรด ที่นี่ถูกคำสั่งปิดกิจการ เรียบร้อยแล้วเช่นกัน //นี่ยังไม่นับ กรณีที่พบว่า ที่ดินของเอกชนแปลงหนึ่งประมาณ 7 ไร่ ที่บริษัทเอกอุทัย ไปเช่าไว้จอดรถบรรทุก ก็พบการลักลอบฝังกากสารเคมีไว้เช่นกัน
สำหรับโรงงานซึ่งเก็บสารเคมีไว้มากที่สุดในบรรดากิจการต่างๆที่เกี่ยวข้อง ก็คือที่บริษัทวินโพรเสส จ.ระยอง ประมา 3 หมื่นตันนั้น การขุดสำรวจ 8 จุด ก็พบการลักลอบฝังทั้งอลูมิเนียม ดรอส และกลุ่มของเหลวเช่นน้ำมันเครื่องเก่า และกรด ไว้ที่นั่นด้วย
จากข้อมูลดังกล่าว บ่งชี้ว่า พื้นที่ซึ่งเชื่อมโยงกับบริษัทเหล่นี้โดยตรงและที่ถูกใช้เป็นพื้นที่ลักลอบทิ้งสารเคมีนั้น ประกอบด้วย จ.พระนครศรีอยุยา ทั้งที่อำเภออุทัย /อำเภอภาชี / จ.นครราชสีมา ที่อำเภอปากช่อง /จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่อำเภอศรีเทพ / จ.ลพบุรี พบเชื่อมโยงที่ ต.ดีลัง อ.พัฒนานคิม / จ.ระยอง ที่อำเภอบ้านค่าย และที่ชลบุรี พบเชื่อมโยงที่พนัสนิคม และพานทอง .
ในขณะที่การค้นเอกสารหลายแห่ง ข่าว 3 มิติ พบว่าเจ้าหน้าที่ได้พบเอกสารที่เป็นกระดาษใช้แล้ว ขีดคร่อมข้อมูลระบุรายจ่ายรายเดือนให้หลายคน เช่น
ค่าที่ปรึกษาทางกฎหมาย สองคน คนละ 48,500 บาท /ข่าว 3 มิติตรวจสอบจากชื่อพบว่า หนึ่งในสองคนนี้ เคยมีตำแหน่งเป็นอดีตอธิบดีอัยภาค
นอกจากนี้ยังมีรายจ่ายรายเดือ ค่าที่ปรึกษาประสานงานราชการ เดือนละ 4,850 จำนวน 2 คน และค่าที่ปรึกษาด้านการบำบัดน้ำเสียอีก เดือนละ 48,500 บาท
ข้อมูลเหล่านี้ เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงและความถูกต้องของเอกสาร และก็ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่พบ ซึ่งหากตรวจสอบเชิงลึก อาจเห็นความเชื่อมโยงทางการ เงินและผลประโยชน์ ไปไกลกว่ากรรมการบริษัทแต่ละคนที่กำลังถูกแจ้งข้อหาในขณะนี้ก็เป็นได้