สังคม

โฆษกศาลยุติธรรม แจงปมถอนหมายจับ ส.ว.คนดัง ด้านผบ.ตร.ยันไม่มีมวยล้มต้มคนดู

โดย panwilai_c

11 มี.ค. 2566

558 views

ความคืบหน้าล่าสุดคดีฟอกเงินยาเสพติด ของเครือข่ายนายทุนมินลัต นักธุรกิจชาวเมียนมา ซึ่งวันนี้มีคำชี้แจงมาจาก โฆษกศาลยุติธรรม ถึงขั้นตอนการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนของตำรวจ หลังมีหนังสือแจงเพิกถอนหมายจับ ส.ว.ที่เป็นเครือข่ายคนสำคัญของนายทุนมินลัต โดยบอกว่า ขณะนี้ ที่ประะชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว



นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยถึงกรณี หนังสือชี้แจงของตำรวจ สน.พญาไท เรื่องการร้องขอออกหมายจับ ส.ว.คนดังมีหลักฐานเกี่ยวข้องขบวนการค้ายาเสพติด และการเพิกถอนหมายจับ ที่ถูกเผยแพร่ในสื่อโซเชียล ว่า ได้เห็นหนังสือที่ส่งต่อผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย แล้ว และเข้าใจว่า มีการรายงานให้คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม หรือ (ก.ต.) ทราบแล้ว แต่ยังไม่มีมติ หรือรายงานอะไรออกมาเป็นพิเศษ



ส่วนของหนังสือชี้แจงที่ปรากฏมีการพาดพิงชื่อบุคคล เป็นผู้บริหารของศาลอาญา นั้น นายสรวิศ กล่าวว่าเข้าใจว่าท่านที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว มีการรายงานข้อเท็จจริงไปบ้างแล้ว และมีการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงก่อนที่ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จะมายื่นหนังสือ ต่อ ก.ต. ให้ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวแล้วเช่นกัน



โฆษกศาลยุติธรรม ยังกล่าวถึงขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนต่างๆ เข้ามาว่า ตามปกติจะมีการรายงานข้อเท็จจริงเป็นลำดับชั้น ตั้งแต่ต้นเรื่อง คือ ศาลอาญา ส่งเรื่องเข้ามาที่ สำนักงานศาลยุติธรรม จากนั้น สำนัก ก.ต. ก็จะดูข้อเท็จจริงที่ได้รับมา เพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในเบื้องต้น ว่าลักษณะของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ถ้าเกิดเห็นว่า เป็นเรื่องของการใช้ดุลยพินิจ การออกคำสั่งตามปกติ ที่สามารถทำได้ ก็อาจจะยุติเรื่องไป แต่หากเข้าข่ายของอาจจะมีมูลเรื่องของผิดวินัย ก็อาจจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง แล้วเสนอต่อประธานศาลฎีกาว่าควรจะยุติเรื่อง หรือ ควรจะดำเนินการอย่างไรต่อไป



อย่างไรก็ตาม เรื่องร้องเรียนต่างๆเหล่านี้ จะยังไม่ต้องเข้าที่ประชุม ก.ต. โดยตรง เพราะปกติ ที่ประชุม ก.ต. จะเป็นชั้นสุดท้าย เพราะหากมีการสอบทางวินัยแล้วมีความเห็นว่าควรจะลงโทษ ถึงจะเข้าที่ประชุม ก.ต.แต่อาจจะมีบางกรณีหรือ บางเรื่อง อาจจะมี ก.ต.บางท่านหยิบยกขึ้นมาสอบถาม ข้อมูลจากที่ประชุม ก.ต.ก็เป็นไปได้ แต่ปกติเรื่องลักษณะนี้ ยังไม่ใช่กระบวนการที่จะ เสนอ เข้า ก.ต.อย่างเป็นทางการ



ทางด้าน นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ก็กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า กรณี นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา ที่มีข้อครหาเกี่ยวข้องพัวพันกับการฟอกเงินขบวนการค้ายาเสพติดของ ทุนมินลัต ตั้งแต่ตนอภิปรายในสภาฯ เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ จนถึงตอนนี้ ยังไม่เห็นความคืบหน้าของการนำตัว ส.ว.อุปกิต มาแจ้งข้อหาเพื่อจะฟ้องคดีต่อไป



ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ตำรวจสืบนครบาล ที่จับทุนมินลัตและขยายผลมาถึง จนแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบการขอหมายจับอุปกิตยังทนไม่ไหว ต้องออกจดหมายเปิดผนึกชี้แจง ระบุว่าการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ประวิงเวลาในการดำเนินคดีกับอุปกิต จะก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อศรัทธาของประชาชน โดยบอกว่า ในวันจันทร์ที่ 13 มีนาคมนี้ จะแถลงเรื่องนี้ ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ว่าใครกันที่ช่วยเหลือให้รอดพ้นคดี



ขณะเดียวกัน ทางผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ได้ออกคำสั่งให้ จเรตำรวจแห่งชาติ เร่งตรวจสอบคดีเครือข่าย "ทุนมินลัต" ย้ำว่า หากพบบกพร่อง มีการช่วยเหลือใครคนใดคนหนึ่ง ก็จะดำเนินการเด็ดขาด โดยบอกว่า คดีนี้ถือเป็นคดีนอกราชอาณาจักร อยู่ระหว่างพิจารณาของอัยการและตำรวจ ยืนยันไม่มีมวยล้มต้มคนดู แลได้สั่งให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เอกสารหลุดออกไป



พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณี พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สารวัตรสืบสวน.สน.พญาไท ชี้แจงขั้นตอนการดำเนินคดีกับเครือข่าย "ทุนมินลัต" จนปรากฎเป็นข่าวที่เกิดขึ้นนั้น



พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้รับทราบข้อมูลแล้ว ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้จเรตำรวจแห่งชาติลงตรวจสอบข้อเท็จจริง การทำสำนวนคดี ความล่าช้า ความบกพร่อง ว่ามีหรือไม่อย่างไร หากพบให้ดำเนินการตามหน้าที่อย่างเด็ดขาด ทั้งอาญา วินัย และปกครอง และในส่วนที่มีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำคดีดังกล่าวหลุดมา ได้สั่งการให้ ผบช.น. ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ และรายละเอียดที่ปรากฎในเอกสาร เป็นข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ เนื่องจากเนื้อหา ในการกล่าวอ้าง เป็นการเปิดเผยขั้นตอนกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดี ที่ยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น และที่ผ่านมาไม่เคยได้รับรายงานจาก ผบช.น. ว่ามีเหตุการณ์เช่นที่บรรยายในหนังสือดังกล่าวเกิดขึ้น



และวันนี้ได้สั่งการกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 รายงานความคืบหน้าในทางคดี ในส่วนที่ไม่เสียต่อรูปคดี มาเป็นระยะ เพื่อที่จะไม่ให้สังคมคลางแคลงใจในความโปร่งใสของการทำงานของพนักงานสอบสวน ซึ่งผบ.ตร.ได้ยืนยันว่าไม่มีใครมาสั่งการ กดดัน หรือเข้าแทรกแซงการทำสำนวนในคดีดังกล่าวแต่อย่างใด และได้กำชับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานที่ปรากฎ



นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังอธิบายถึง ปัญหาการโยกย้ายตำรวจชุดจับกุมเครือข่ายนายทุนมินลัตหลายนายออกนอกพื้นที่ไปก่อนหน้านี้ด้วยว่า กรณีของ พ.ต.ท.มานะพงษ์ เป็นการแต่งตั้งตามวาระ ไม่ได้มีสาเหตุมาจากคดี เนื่องจากคดีนี้ ตำรวจกองกำกับการสืบสวนสอบสวน บช.น.ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสำนวนแล้ว ตั้งแต่ที่อัยการสูงสุดอนุมัติเป็นคดีนอกราชอาณาจักร อีกทั้งอำนาจการแต่งตั้งระดับ สว.-รอง ผกก เป็นอำนาจของ ผบช. ซึ่งพิจารณาจากหลายปัจจัย ทั้งการทำงาน ความรู้ความสามารถ การทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานและอาวุโสต่างๆ โดยมีการประเมินตามหลักเกณฑ์ มีผลคะแนน ออกมาชัดเจน จนมีการโยกย้ายตามความเหมาะสม เพื่อให้การทำงานของหน่วยมีความต่อเนื่อง



ซึ่งการโยกย้าย พ.ต.ท.มานะพงษ์ เป็นสารวัตรสืบสวนสน.พญาไท ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ไม่ได้เป็นการลดเกรด หรือกลั่นแกล้ง เพียงแต่เป็นเรื่องความเหมาะสมของหน่วย ที่ผู้บังคับบัญชาเห็นว่า จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อการทำงานในภาพรวมของหน่วย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ



โฆษก ตร. กล่าวอีกว่าทิ้งท้าย ว่า ทาง ผบ.ตร. พร้อมจะทำทุกทาง เพื่อเอาผิดคนเกี่ยวข้องมาดำเนินคดี ไม่มีมวยล้มต้มคนดูแน่นอน

คุณอาจสนใจ

Related News