สังคม

ลุยสอบมูลนิธิเถื่อนภาคเหนือ เอื้อกลุ่มจีนเทา จ่อชงศาลสั่งเลิกกิจการ-เอาผิดฐานอั้งยี่

โดย panwilai_c

15 ม.ค. 2566

82 views

จากเรื่อง ตำรวจ 191 กับ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ถูกกล่าวหาว่า เรียกรับสินบน จากกลุ่มผู้ต้องหาชาวจีน ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มจีนเทากลุ่มใหม่ นอกเหนือจากกลุ่มนายตู้ห่าว มาที่ข่าวนี้ ซึ่งข่าว 3 มิติ ตามเกาะติด การตรวจสอบมูลนิธิเอื้อกลุ่มจีนเทา ที่ขยายผลจากคดีตู้ห่าว เป็นการตรวจสอบมูลนิธิ ซึ่งสงสัยว่า อาจเกี่ยวโยงกับประเด็นการออกวีซ่าให้ต่างชาติและกลุ่มจีนเทาเข้ามาทำธุรกิจในประเทศ



ความคืบหน้าต่อเนื่องจากเมื่อวาน ล่าสุด เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่ไปตรวจสอบสถานที่ตั้งสาขาในจังหวัดแพร่ พบมีพฤติการณ์แบบเดียวกับ ที่ตั้งสำนักงานในเชียงใหม่ ทั้งการจัดฉากและปลอมลายเซ็น โดยแอบอ้างชื่อเจ้าของอาคาร ไปขอจดแจ้งใช้เป็นที่ตั้งสาขาของมูลนิธิ



ข่าว 3 มิติ ติดตามเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่เข้าไปสำรวจที่ตั้งอาคารหลังหนึ่งใน อ.สอง จ.แพร่ หลังตรวจสอบพบมูลนิธิต้องสงสัยอย่างน้อย 4 แห่ง ขยายสำนักงานสาขาจากเชียงใหม่ออกมาอยู่ที่นี่



ผู้ดูแลสถานที่ให้ข้อมูลว่า ผู้เช่าเพิ่งจะย้ายออกไปได้ไม่นาน หลังฝ่ายผู้ให้เช่าเห็นว่า เอก ผู้ขอเช่า มีพฤติการณ์น่าสงสัย คือเช่าไว้แล้วมีแต่ห้องเปล่า ๆ ไม่พบความเคลื่อนไหวหรือเข้ามาใช้ประโยชน์ จะมีก็นาน ๆ ครั้ง เห็นมีคนเอาของมาถ่ายรูป เสร็จแล้วก็หายไป จนเริ่มเป็นที่สงสัยของชาวบ้าน ทางอาคารจึงขอยกเลิกสัญญา



เจ้าหน้าที่ขยายผลต่อทันที และพบว่า อาคารหลังนี้ถูกเอาชื่อเจ้าของและเลขที่ตั้งของอาคาร ไปขอจดแจ้งเป็นที่ตั้งสำนักงานสาขาของมูลนิธิ ที่น่าสนใจคือ ไม่ใช่แค่ 1 หรือ 2 แต่มากถึง 4 มูลนิธิในอาคารเดียว โดยที่เจ้าของผู้เช่าไม่เคยรู้มาก่อนว่า อาคารที่พักของตัวเอง จะถูกเอาไปอ้างใช้เป็นที่ตั้งขององค์กรที่เกี่ยวโยงกับคนต่างชาติเชื้อสายจีน



เมื่อตรวจดูรายละเอียดในเอกสารจัดตั้งมูนิธิ เจ้าหน้าที่พบความผิดปกติหลายอย่าง หนึ่งในประเด็นที่น่าสงสัยก็คือ ในใบยื่นคำขอมีลายมือชื่อเจ้าของสถานที่ลงกำกับ ซึ่งไม่สอดคล้องกับคำให้การ เพราะผู้ให้เช่าเจ้าของอาคาร ยืนยันัดเจนว่า ไม่เคยเซ็นและไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน จึงตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีกลุ่มขบวนการร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร เพื่อใช้ขอวีซ่าให้กับเหล่าสมาชิกเข้าอาศัยในประเทศไทยหรือไม่



ข้อสังเกตคือ การลงลายมือชื่อเจ้าของอาคาร ปกติจะเขียนเฉพาะชื่อและนามสกุล เมื่อนำเปรยบเทียบกับเอกสารคำขอตั้งมูลนิธิ จะเห็นว่า ชื่อในช่องลายเซ็น มีการลงลายมือเขียนคำว่านางสาวนำหน้าชื่อ ซึ่งมีพิรุธ



ก่อนหน้านี้มีหนังสือจากผู้ว่าเชียงใหม่ ส่งถึงผู้ว่าจังหวัดแพร่ เรื่องตรวจสอบ หลังพบเบาะแสของมูลนิธิบางแห่ง ซึ่งมีประวัติปลอมเอกสารราชการ ย้ายออกมาตั้งสาขาในจังหวัดแพร่ เพื่อนำรายชื่อสมาชิกต่างชาติ โดยอ้างว่าเป็นนักเรียนและอาสมัครไปขอออกวีซ่ากับตม.จังหวัดแพร่



การสืบสวนเชิงลึกของชุดปฏิบัติการพิเศษ กรมการปกครอง พบว่า ทั้ง 4 มูลนิธิ มีคนไทยเป็นประธาน มีความเชื่อมโยงและพฤติการณ์สอดคล้องกัน เช่น มีการรับอาสาสมัครจำนวนมาก โดยเป็นการขอต่อวีซ่าประเภท บุคคลที่ทำประโยชน์ให้กับสาธารณะ หรือองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งจะสามารถอยู่ไทยได้นานกว่าวีซ่านักท่องเที่ยว



นอกจากนี้มูนิธิ ยังเปิดรับสมาชิก โดยอ้างเป็นนักเรียน นักศึกษา เพื่อนำเหตุผลนี้ไปยื่นต่ออายุวีซ่า อยู่ในไทยได้นานกว่าคนทั่วไป เช่นกัน และที่ชัดและน่าสงสัยก็คือ ที่ตั้งของมูลนิธิ ไม่มีสภาพเป็นสำนักงาน ไม่มีการดำเนินงาน ไม่มีพนักงานอยู่ประจำ



ฝ่ายปกครองยังพบว่า ประธานมูลนิธิต้องสัยอย่างน้อย 2 แห่ง เคยมีหมายจับหลายข้อหา เช่น สวมตัวเป็นพ่อให้คนจีน แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ รวมไปถึงผู้ประสานงานบางคน ก็มีหมายจับเช่นกัน



จากนี่จะเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ รวบรวมพยานหลักฐานยื่นเรื่องต่อศาล พิจารณาสั่งเลิกมูลนิธิ และดำเนินคดีอาญาฐานอั้งยี่ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือส่งให้ทุกจังหวัด ปูพรมตรวจมูลนิธิที่เข้าข่ายมีพฤติการณ์แอบแฝง เอื้อประโยชน์ให้ต่างชาติอาศัยช่องทางกฏหมายตรวจคนเข้าเมือง เข้ามาในประเทศ ซึ่งถูกตั้งคำถามจากสังคมเช่นกันว่า ขบวนการลักษณะนี้ มีคนเจ้าหน้าที่คนใด เปิดทางและแบ่งรับผลประโยน์อยู่เบื้องหลังหรือไม่

คุณอาจสนใจ

Related News