แทบขาดใจ...2 ด.ญ.เสียแม่ป่วยดับคาบ้าน นั่งร้องไห้เฝ้าศพ ตรวจเจอติดโควิดทั้งคู่ เผยคำสั่งเสียแม่ก่อนตาย

สังคม

แทบขาดใจ...2 ด.ญ.เสียแม่ป่วยดับคาบ้าน นั่งร้องไห้เฝ้าศพ ตรวจเจอติดโควิดทั้งคู่ เผยคำสั่งเสียแม่ก่อนตาย

27 ก.ค. 2564

838 views

เมื่อวานนี้ (26 ก.ค.) เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู ได้เข้าดำเนินการรับศพผู้เสียชีวิตที่ห้องเช่าแห่งหนึ่ง ซอยไฟโอเนีย แยก 2 ต.บางโฉลง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ โดยพบศพนางสาวอาภาภรณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี อาชีพหมอนวดจับเส้น นอนเสียชีวิตอยู่บนที่นอน โดยมีลูกสาววัย 11 ขวบ และ 9 ขวบ เฝ้าศพแม่ไม่ห่าง


เบื้องต้นทราบว่า หญิงผู้เสียชีวิตอาศัยอยู่กับลูกสาว 2 คน ไม่มีญาติที่ไหน โดยมีอาการไอรุนแรงออกมาเป็นเลือดประมาณ 2-3 วัน เจ็บคอ เวียนศีรษะ อาเจียน แน่นหน้าอก ปวดหลังและหายใจไม่ออก กระทั่งมาเสียชีวิตเมื่อช่วงเช้าวานนี้ (26 ก.ค.)


ระหว่างที่กู้ภัยเดินทางมาถึงเพื่อเก็บศพ เด็กหญิงที่ 2 คน นั่งร้องไห้อยู่กับพื้นถนนบริเวณปากทางเข้าห้องเช่า เจ้าหน้าที่และชาวบ้านละแวกนั้นต่างเข้ามาปลอบ ซื้อขนม น้ำ และนมให้กิน พี่คนโตวัย 11 ขวบ สะพายกระเป๋าซึ่งด้านไหนมีเอกสารสำคัญของคุณแม่ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน


จากนั้นเจ้าหน้าที่กู้ภัยได้สวมชุด PPE เข้าเก็บศพใส่ถุงซิปล็อค และนำร่างออกมาจากห้องเช่า เด็กหญิงทั้ง 2 คน ต่างก็ร้องไห้ ต้องกลายเป็นกำพร้าเพราะขาดแม่ ขาดที่พึ่ง เนื่องจากไม่มีญาติที่ไหน พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ศพยกมือไหว้ร่างไร้วิญญาณของแม่ ระหว่างเจ้าหน้าที่กำลังนำขึ้นรถ โดยได้นำส่งไปชันสูตรที่โรงพยาบาลรามาสมุทรปราการ และตรวจว่าเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิดหรือไม่


ขณะเดียวเจ้าหน้าที่ได้ใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit ตรวจหาเชื้อโควิดกับเด็กหญิงทั้ง 2 คน เบื้องต้นผลออกมาว่าติดเชื้อ ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาช่วยเหลือเด็กทั้ง 2 คน เพื่อดำเนินการเข้าสู่กระบวนการรักษาตามขั้นตอนต่อไป


เด็กหญิงวัย 11 ขวบ ลูกสาวคนโตของผู้เสียชีวิตนั่งเศร้าซึมร้องไห้กอดน้องสาววัย 9 ขวบ อยู่หน้าห้องเช่า เผยกับผู้สื่อข่าวว่า ก่อนที่แม่จะเสียชีวิตมีอาการเวียนศีรษะ อาเจียน ไอมีเสลด บางครั้งก็ไอเป็นเลือด โดย 2-3 วันก่อนที่แม่จะเสียชีวิตมีอาการปวดหลังมาก ลุงซึ่งอยู่ห้องพักข้างกันได้พาแม่ไปหาหมอ หมอให้ยามากิน


แม่มีโรคประจำตัวไทรอยด์เป็นพิษ น้ำท่วมปอด ปวดท้องเป็นประจำ ค่ำของวันที่ 25 ก.ค. แม่นอนกึ่งหลับกึ่งตื่น แล้วแม่พูดว่า “อย่าไป อย่าไป อย่าไปกับใคร ให้อยู่กับแม่คนเดียวใครให้ไปที่ไหนอย่าไป ให้อยู่กัน 2 คนให้รักกัน ถ้าหากไม่รักกันใครจะมารักเรา อยู่ด้วยกันดูแลกันดี ๆ ที่แม่ดุตีอยากให้เป็นเด็กดี อยากให้ทำอะไรเป็น วันหน้าถ้าไม่มีแม่จะได้ทำอะไรเป็น”


เด็กหญิงวัย 11 ขวบ บอกว่า จากนั้นตนเองกับน้องสาวนอนหลับ เช้าวันรุ่งขึ้นป้าข้างห้องมาเรียกซื้อโจ๊กมาให้แม่กิน พบว่าแม่ได้เสียชีวิตไปแล้ว “หนูร้องไห้ หนูเสียใจหนูอยากบอกว่าหนูคิดถึงแม่ ไม่อยากให้แม่เป็นอะไรไป อยากบอกแม่ว่าขอให้แม่ไปดี ให้แม่ไปอยู่ที่ดี ๆ ไม่ต้องเป็นห่วงหนูจะดูแลน้อง จะรักน้องให้ถึงที่สุด”


นอกจากนี้ลูกสาวยังเล่าให้ฟังว่า ก่อนเสียชีวิตแม่ถามว่า “ถ้าเกิดวันหนึ่งแม่เป็นอะไรไปจะอยู่กันยังไง” ถ้าอยู่ไม่ได้ให้ไปอยู่กับน้าณี (น้องสาวผู้ตาย) แต่น้าณีเขาก็มีภาระต้องเกรงใจเขาด้วย “แม่ได้สั่งเสียไว้ว่า “ถ้าแม่ตายให้ไปอยู่บ้านเด็กกำพร้า ถ้าไม่มีใครเลี้ยงก็ต้องไปอยู่สถานสงเคราะห์”


เด็กหญิงวัย 11 ขวบ บอกว่า ตอนนี้ตนเองกับน้องสาวไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว เพราะแม่ไม่มีเงินส่งเสีย ตอนแม่ยังมีชีวิต จะคอยสอนหนังสือให้ตนกับน้องสาว จนตนพออ่านออกเขียนได้ “หนูเห็นแม่ป่วยก็ไม่อยากเรียน เพราะสงสารแม่ อยากให้แม่เก็บเงินไว้รักษาตัวมากกว่า แม่พยายามหาเงินเพื่อให้หนูกับน้องได้เรียน ตอนแรกหนูก็ไม่อยากเรียนเพราะรู้สึกถูกกดดัน”


เด็กหญิงวัย 11 ขวบร่ำไห้บอกอีกว่า แม่ย้ำเสมอให้ดูแลน้องดี ๆ รักน้องให้มาก ๆ “หนูรักแม่ หนูมีความสุขที่ได้เกิดมาเป็นลูกแม่ ไม่มีใครดีเท่าแม่อีกแล้ว สิ่งที่แม่ต้องการในชีวิตคืออยากให้เป็นเด็กดี แม่เป็นห่วงแม่ทำทุกอย่างให้หนูกับน้องสบาย”


แม่บอกว่า “แม่มีทั้งสิ่งดีและไม่ดี สิ่งไหนไม่ดีไม่ต้องลอกเลียนแบบ สิ่งดีให้เก็บไว้เป็นความรู้ หนูก็อยากเรียนหนังสือ แต่ถ้ามีเงินก็อยากให้น้องได้เรียนจนจบ หนูไม่ได้เรียนไม่เป็นไร ขอให้น้องได้เรียนจนก็พอ หนูรู้สึกว่าหนูอ่านไม่ออกขอดูแลน้องดีกว่า อยากให้น้องมีอนาคตที่ดี อยากให้น้องได้เรียน อยากให้แม่มีความสุข หนูเป็นห่วงน้อง อยากดูแลน้อง จนกว่าใครจะไปจากกัน”


ด้านนายนิยม อายุ 47 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ห้องเช่าข้างกันเผยว่า ก่อนหน้าที่แม่ของเด็กจะเสียชีวิต ตนพาไปหาหมอที่อนามัยวัดความดันได้ 200 กว่า ทางอนามัยบอกให้พาไปโรงพยาบาลฯ แต่ทางโรงพยาบาลรับเฉพาะเคสโควิด ไม่รับผู้ป่วยนอก จึงพากลับมาที่ห้องเช่าเหมือนเดิม กินยารักษาตามอาการ


ตี 2 คืนก่อนที่แม่ของเด็กจะเสียชีวิตร้องด้วยความเจ็บปวดลั่นห้อง ตนซึ่งพักอยู่ห้องข้าง ๆ วิ่งออกมาดูถามว่า “ไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวจะพาไปโรงพยาบาล” แม่ของเด็กตอบว่า “ ไหว” ประมาณตี 4 เสียงเงียบหายไป วันรุ่งขึ้นภรรยาของตนนำโจ๊กไปให้พบว่าเธอเสียชีวิตแล้ว สภาพศพนั่งก้มฟุบอยู่ปลายเตียง มีผ้าห่มพันตัวไว้


ลูกสาวของผู้เสียชีวิต วิ่งมาบอก “ตา ไปดูแม่หน่อยค่ะ แม่เป็นอะไรไม่รู้ เรียกไม่ตื่นเลย” ตนจึงเข้าไปดูจับตัวพบว่าตัวเย็น สงสารเด็กทั้ง 2 คน อยากรับไว้เลี้ยงดู แต่คงไม่ไหว เพราะตนเองก็มีภาระ ช่วงนี้เป็นช่วงโควิดอยู่ยากลำบากไม่มีรายได้ อีกทั้งตนเองต้องกักตัว เพราะตรวจหาเชื้อแบบ Antigen Test Kit เบื้องต้นเป็นบวก


นายนิยม บอกว่า อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลเด็กทั้งสองคน อยากให้เด็ก ๆ ได้เรียนหนังสือ โตไปจะได้มีอาชีพ เด็กทั้งสองคนไม่ได้เรียนหนังสือมาเป็นปีแล้ว ตนสงสารครอบครัวของเด็ก อยู่ห้องข้างกันมีอะไรก็แบ่งปันกันกิน และก่อนที่ผู้สื่อข่าวจะขึ้นรถกลับได้เดินมาบอกว่า “ฝากน้องด้วยนะ! ”



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/RmG7jQX85eY

คุณอาจสนใจ