เลือกตั้งและการเมือง
ศาลปกครองเชียงใหม่ พิพากษาภาคปชช.ชนะคดีฟ้อง ‘บิ๊กตู่-กก.สิ่งแวดล้อมฯ’ ละเลยหน้าที่ แก้ปัญหาฝุ่นล่าช้า
โดย petchpawee_k
20 ม.ค. 2567
76 views
ศาลปกครองเชียงใหม่ พิพากษาคดี ‘ภาคประชาชน’ ฟ้องอดีตนายกฯ ‘ประยุทธ์’ กับ ‘คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ’ แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ล่าช้า ศาลฯ สั่งกำหนดมาตรการหรือจัดทำแผนฉุกเฉินดังกล่าวให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน
เมื่อวานนี้ (19 ม.ค.67) ศาลปกครองจังหวัดเชียงใหม่ อ่านคำพิพากษา คดีที่เครือข่ายภาคประชาชนภาคเหนือ และตัวแทนผู้ฟ้องคดีทั้ง 10 คน ประกอบด้วย นักวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สภาลมหายใจเชียงใหม่ สภาลมหายใจภาคเหนือ และภาคประชาชน ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี ในสมัยของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2566 เกี่ยวกับวิกฤตฝุ่นพิษในภาคเหนือที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร้ายแรงและถูกเพิกเฉยจากรัฐบาล
ศาลปกครองเชียงใหม่ มีคำพิพากษา ระบุว่า นายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร โดยให้ใช้อำนาจหรือร่วมกันใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 กำหนดมาตรการ หรือจัดทำแผนฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพอย่างบูรณาการและยั่งยืน เพื่อป้องกัน ควบคุม แก้ไข บรรเทา หรือระงับภยันตรายอันเกิดจากฝุ่น PM2.5 ซึ่งเกินกว่าค่ามาตรฐาน และอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือให้ทันท่วงที
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการกำหนดมาตรการ หรือจัดทำแผนฉุกเฉินดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า จากคำพิพากษา มีเรื่องสำคัญ เรื่องแรกยอมรับปัญหาเรื่องฝุ่นเป็นปัญหาวิกฤต ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คน เรื่องที่สอง รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ละเลยและปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา ที่รัฐบาลยกให้เป็นวาระแห่งชาติ หรือ ประกาศมาตรการต่างๆ หลายปีที่ผ่านมา มองว่าเป็นมาตรการที่ล่าช้า ไม่ทันกับรับมือปัญหาเรื่องนี้ ต้องมีการจัดการในรูปแบบใหม่ ไม่ให้ผ่านระบบราชการแบบเดิม
เรื่องที่สาม คำพิพากษานี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ภาคประชาชนยังต้องทำงานติดตามเรื่องนี้อยู่ หลังมีคำสั่งของศาล ที่จะให้มีการทำแผนภายใน 90 วัน หลังจากมีคำพิพากษาถึงที่สุด
โดยหลังจากนี้ ภาคประชาชนเตรียมยื่นหนังสือถึงอัยการ อย่าอุทธรณ์คำสั่ง หรือคำพิพากษา เพราะคดีนี้เป็นที่ชัดเจนว่าเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน ถ้าอัยการอุทธรณ์จะทำให้ปัญหาฝุ่นทอดยาวไปอีก คำพิพากษานี้มีนัยสำคัญอย่างไร จะเป็นจุดเริ่มต้น ที่ชี้ให้เห็นการทำงานที่ผ่านมา ล้มเหลว ไม่ทันการณ์ ไม่มีประสิทธิภาพต่อการจัดการปัญหาเรื่องฝุ่น หวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งทั้งหมดไม่อาจฝากความหวังไว้หน่วยงานรัฐ ว่าจะทำได้โดยลำพัง แต่ต้องอาศัยความใส่ใจ ความสนใจ และแรงผลักของประชาชน จะเป็นส่วนสำคัญการแก้ปัญหา
ทั้งนี้ หวังว่าจะเป็นบทเรียนให้รัฐบาลปัจจุบัน จะต้องจัดการเรื่องนี้อย่างรอบด้านมากขึ้น และฟังเสียงมากขึ้น บูรณาการงานต่างๆมากขึ้น อย่าใช้แผนเดิมจัดการแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น เพราะการทำงานที่ผ่านมา มีคำยืนยันผ่านคำพิพากษาของศาลแล้วว่า การจัดการแบบเดิมจัดการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือไม่ได้