เลือกตั้งและการเมือง

“สว.สมชาย” เปิดใจเบื้องหลังล่าชื่อ 40 สว.ถอดถอน “เศรษฐา-พิชิต”

26 พ.ค. 2567

1.1K views

วันนี้ (26 พ.ค. 2567) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวการเมืองช่อง 3 ถึงเบื้องหลังการล่ารายชื่อ 40 สว. ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร เป็นการทำตามรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้เรามีความสงสัยในการนำรายชื่อขึ้นเสนอเป็นรัฐมนตรีของนายพิชิต ซึ่งแต่เดิมเมื่อเดือน ส.ค. 2566 ตนเคยออกมาทักท้วงไปแล้วว่าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเคยมีคำสั่งไปยังหน่วยราชการต่าง ๆ ว่าการเสนอชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ต้องมีการตรวจสอบให้รอบคอบ


ต่อมาวันที่ 1 ก.ย. 2566 เลขาธิการกฤษฎีกาก็ตอบหนังสือเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเรื่องคุณสมบัติรัฐมนตรีอยู่แล้ว ซึ่งถามมาแค่ไหนก็ตอบแค่นั้น โดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไม่ได้ถามเรื่องคุณสมบัติรัฐมนตรีของนายพิชิตทั้งหมด ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 และ 170 แต่กลับเลือกถามแค่บางข้อ ที่ไม่ครอบคลุมจริยธรรม


“อย่างเช่น ถามว่า สว.มีคุณสมบัติครบหมด แต่อายุ 25 ปี สมัครได้หรือไม่ มันก็ไม่ได้ เพราะมันต้องอายุ 40 ปี อย่าง สส. มีอายุ 18 ปี ได้หรือไม่ มันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาถามต้องถามทั้งหมด มันจะเลือกถามเฉพาะวงเล็บไม่ได้ มันเฉพาะเจาะจง เมื่อกฤษฎีกาเขาใช้คณะพิเศษ หมายถึงคณะผู้ใหญ่ เหมือนศาลฎีกาเลย ก็ตอบกลับมาว่าถามแค่นี้ก็ตอบแค่นี้ แต่ยังให้คำแนะนำอีกได้ว่าเรื่องคุณสมบัติเป็นอำนาจชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่ามีนัยยะนะ ว่าถ้าสงสัยเรื่องที่ไม่มีการถามมา เช่น ความซื่อสัตย์สุจริตหรือจริยธรรมร้ายแรง ก็ให้ไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ พวกเราก็ตีความอย่างนั้น เราเห็นเอกสารนี้มานานแล้ว” นายสมชาย กล่าว


นายสมชาย กล่าวว่า เมื่อแต่งตั้งรัฐมนตรีครั้งแรก นายเศรษฐารู้ว่าแต่งตั้งไม่ได้เลยถอนรายชื่อไป จะถอนเองหรือใครจะถอนก็แล้วแต่ แต่เมื่อปรากฏว่านำชื่อนายพิชิตมาขึ้นทูลเกล้าฯ อีก 1 รอบ แล้วอธิบายว่าตรวจคุณสมบัติจากกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว พวกเราจึงมาดูกันใหม่ว่าตกลงแล้วมีการถามกฤษฎีกาไปใหม่หรือไม่ สรุปว่าก็ไม่มี


เมื่อไม่มีก็แสดงว่าเป็นการถามไปแค่ครั้งเดียวคือวันที่ 1 ก.ย. 2566 ทำให้เราเห็นว่าปัญหาเดิมยังอยู่ คือนายพิชิตโดนคดีที่ศาลตัดสินว่าละเมิดจริยธรรม อำนาจศาล จำคุกพร้อมทีมทนาย 3 คน รวม 6 เดือน ซึ่งกรณีนี้เป็นการกระทำผิดในชั้นศาลฎีกาเลย ดังนั้น คำพิพากษาและคำสั่งศาลจึงไม่ต่างกัน


“เรื่องนี้มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ตามมาตรา 160 (4) ของรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ซึ่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไม่ถาม แล้วยังมีปัญหาเรื่องจริยธรรมร้ายแรง ตามมาตรา 160 (5) ซึ่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีก็ไม่ได้ถามกฤษฎีกาอีก ไปถาม (6) (7) มีความประพฤติผิดจริยธรรมร้ายแรงอย่างไร ก็ต้องไปดูที่สภาทนายความมีมติถอนใบอนุญาต” นายสมชาย กล่าว


นายสมชาย ระบุว่า เรื่องนี้มีบุคคล 3 กลุ่มที่สามารถยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้แก่ กลุ่มแรก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งไม่มีผู้ร้องหรือ กกต.ไม่เห็นก็ไม่ทราบ กกต.ควรออกมาทำหน้าที่เหมือนที่ยื่นร้องนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ , นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ทำอะไร กลุ่มที่ 2 คือ สส. จำนวน 1 ใน 10 หรือประมาณ 50 คน ก็ไม่มีใครยื่น ทำให้ต้องมาถึงมือกลุ่มที่ 3 คือ สว.


นายสมชาย ตั้งคำถามว่า เราจะปล่อยแบบนี้จริง ๆ หรือ จึงเป็นที่มาของกลุ่ม สว.คุยกันว่าเรื่องนี้ควรจะยื่นต่อศาล และควรจะยื่นคำร้องทั้งตัวนายพิชิตและนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้รับผิดชอบ เนื่องจากทราบอยู่แล้ว และนายเศรษฐาบอกว่ากฤษฎีกามีความเห็น ก็ไม่ใช่ความเห็นใหม่อะไร


เมื่อถามว่าช่วงแรกไม่มีการเปิดเผยชื่อออกมา แสดงว่ามีการล็อบบี้ใต้น้ำใช่หรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า มีจริง ตอนแรกเป็นการถกความเห็นกันปกติของ สว. ตนยื่นเรื่องต่อศาลแบบนี้เป็นปกติ


“มีรัฐมนตรีบางท่านโทรไปหา สว. ทำให้ สว.บางท่านบอกว่าจะร่วมด้วย แต่ตอนหลังไปรับโทรศัพท์จากรัฐมนตรี ขอร้องไม่ให้เซ็น ท่านเลยต้องไม่เซ็น เป็นคำบอกเล่าของคนประสานงานว่าคนนี้เซ็นให้ไม่ได้ เพราะรัฐมนตรีโทรไปขอร้อง ทราบว่ามีหลายคนที่ถูกหาชื่อ ที่ต้องปิดชื่อ เพราะมันมีกระบวนการที่ต้องการถอนชื่อ จากเดิมที่ไม่ใช่แค่ขอไม่ให้เซ็น พี่เป็นคนยื่นเองกับสำนักเลขาธิการวุฒิสภา และให้ปิดเป็นความลับเอง เพราะที่ผ่านมาตลอด แม้ใช้เสียงจำนวนน้อย ก็มีความพยายามของทุกกลุ่มการเมืองในการล็อบบี้ให้ถอนชื่อ ดิสเครดิต หรือข่มขู่ ในอดีตมีหมดทุกอย่าง


เพราะฉะนั้น การที่ปกปิดชื่อก็ไม่เห็นต้องกังวลว่าลี้ลับซับซ้อน มันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องเพราะมีกระบวนการทำลายเครดิต แม้กระทั่งตรวจส่งผ่านเลขาธิการวุฒิสภาจะไปประธาน ประธานไปศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีคนไปล็อบบี้วันที่ศาลรับวินิจฉัยเลยว่าให้ถอน” นายสมชาย กล่าว


นายสมชาย ย้ำว่า เอกสารคำร้องนี้ ตนเป็นคนปิดเป็นความลับเอง เพราะไม่ต้องการให้กระบวนการอุบาทว์มารบกวน ในอดีตเคยมีคนโดนย้าย บางคนลูกเต้าไปร่วมลงนามเรื่องเขาพระวิหาร ก็ไปย้ายลูกเขาจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศไปอยู่ประเทศนามิเบีย แอฟริกาใต้ที่มีสงคราม จนต้องออกจากราชการ มีบางคนถูก ปปง. เข้าตรวจ ยึดทรัพย์เขาไปเป็นปี ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง สว.ที่ร่วมลงชื่อเขาพระวิหารเคยโดนหมด ถ้ามีครอบครัวที่เป็นข้าราชการสั่งย้ายหมด ถ้าไปทำธุรกิจก็เอาสรรพากรเข้าตรวจภายใน 7 วัน เราจึงต้องระมัดระวังให้เพื่อน สว. เราไม่ได้บอกว่ารัฐบาลนี้จะทำ แต่เราเคยเห็นร่องรอยในอดีตเมื่อ 20 ปีที่แล้ว


“และไม่มีชื่อปลอมอย่างที่เลอะเทอะกัน มีความพยายามดิสเครดิต คนที่บอกว่าชื่อปลอมนั่น เขาไม่ได้เซ็นอยู่แล้ว ก็ไม่แปลก ก็คนอีก 210 คนเขาไม่ได้เซ็น ใครจะโง่ไปปลอมชื่อ คนเป็น สว. มีวุฒิภาวะ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง จะไปโง่ปลอมลายเซ็นหรือจะไปให้เขาปลอมลายเซ็นทำไม ไม่เหมือนพรรคการเมืองบางพรรคที่เคยทำ สว.เขาไม่ทำหรอก” นายสมชาย กล่าว


เมื่อถามว่า สว. ได้รับคำสั่งจากลุงหรือใครหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า สมชายไม่เคยมีคำสั่งมา ตนทำด้วยตนเองมาโดยตลอด ตั้งแต่ยื่นศาลในอดีต เป็นทั้งผู้ร้อง ถูกร้องมาแล้ว ส่วนที่ สว. ที่ลงชื่อส่วนใหญ่ ไม่ได้โหวตให้นายเศรษฐานั้น นายสมชายกล่าวว่าไม่เกี่ยวกัน คนที่ไม่ได้โหวตแต่ไม่ลงชื่อก็มีตั้งหลายคน คนที่โหวตก็มีมาเซ็น ไม่มีความเกี่ยวกันเลย


เมื่อถามว่าเป็นความประมาทหรือใช้ช่องกฎหมายเพื่อให้นายพิชิตได้เป็นรัฐมนตรีหรือไม่ นายสมชาย ระบุว่า เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่ไม่ตรวจสอบให้เรียบร้อย เป็นความที่รู้อยู่แล้วว่าน่าจะขาดคุณสมบัติ แล้วสังคมตอนนั้นก็ทัก ตนก็ทักว่ามีปัญหา ก็ไม่ได้สอบถามกฤษฎีกาใหม่ แต่ก็เคลมว่าถามแล้ว มันคือรู้แล้วยังทำ สว.ก็มีหน้าที่ เพราะ กกต.ก็ไม่ร้อง สส.ก็ไม่ร้อง ถ้า สว.ไม่ทำหน้าที่ จะไปอยู่กินเงินเดือนทำไม

คุณอาจสนใจ

Related News