เลือกตั้งและการเมือง

ลุยเอาผิดทุจริต 11 องค์กร ผนึกกำลังร่วมแถลงเคส STARK เรียกความเชื่อมั่นตลาดทุน

โดย petchpawee_k

27 มิ.ย. 2566

59 views

11 หน่วยงานในตลาดทุนไทย แถลงเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน หลังเหตุอัปยศกรณี STARK ปล้นตลาดทุน ก.ล.ต.ยันเร่งเอาผิดตามกฎหมาย  ขณะที่สภาผู้สอบบัญชีรับลงโทษผู้สอบบัญชีได้เพียง พัก–ถอนใบอนุญาต 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พร้อมด้วยผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯและผู้บริหาร 9 องค์กรสำคัญในตลาดทุน ร่วมแถลงเกี่ยวกับการทุจริตตกแต่งบัญชีแจ้งและรายงานข้อมูลอันเป็นเท็จ ของ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) ที่สร้างความเสียหายมหาศาลให้ตลาดทุน โดยเฉพาะเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้น


นายธวัชชัย พิทยโสภณ รองเลขาธิการและรักษาการเลขาธิการ ก.ล.ต. เปิดเผยว่า ก.ล.ต.กำลังตรวจสอบการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ กรณีที่ STARK โดยร่วมมือและประสานกับดีเอสไอและ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) รวมทั้ง ปปง. เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ก.ล.ต.จึงจะร้องทุกข์กล่าวโทษผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่ผ่านมา ก.ล.ต.ได้ทำหน้าที่ภายใต้อำนาจที่มี เช่น สั่งให้บริษัทเปิดเผยข้อมูล ขยายขอบเขตการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติม และการแจ้งเตือนผู้ลงทุน พร้อมร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ขณะนี้การตรวจสอบคืบหน้าไปมาก แต่ไม่สามารถให้รายละเอียดได้ บอกได้แค่ผู้กระทำผิดกฎหมายหลักทรัพย์ มีบทลงโทษสูงสุดจำคุก 10 ปี ส่วนคำถามว่า ยังพึ่งพาหรือให้ความมั่นใจ ก.ล.ต.ได้หรือไม่ ขอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์


“ก.ล.ต.เร่งดำเนินการเต็มที่ เพราะเกี่ยวข้องกับผู้ลงทุนจำนวนมากและมีผลกระทบต่อตลาดทุนภาพรวม กระทั่ง DSI ได้รับ STARK เป็นคดีพิเศษ และล่าสุดวันที่ 26 มิ.ย.ได้หารือร่วมกับ 3 หน่วยงาน คือ DSI ปอศ.และกองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดรวดเร็วและรัดกุม เพื่อยับยั้งความเสียหายต่อประชาชนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”


ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า หลังเกิดบทเรียนกรณี STARK สิ่งที่ต้องดำเนินการ คือ ปรับกระบวนการทำงานและปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆทั้งด้านบริษัทจดทะเบียน และการซื้อขายให้มีความเข้มงวดขึ้น มีหลายเรื่องที่บอร์ดตลาดฯมีมติเห็นชอบไปแล้ว ทั้งการปรับปรุงเกณฑ์ และยกระดับการกำกับดูแลตลอดทั้งกระบวนการ ตั้งแต่เกณฑ์การรับหลักทรัพย์เข้าใหม่ โดยเฉพาะรูปแบบ Back door Listing, การดำรงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียน จนถึงการเพิกถอน รวมถึงจะยกระดับการกำกับการซื้อขาย เช่น มาตรการป้องปราม ตลอดจนความร่วมมือเชิงรุกกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดโอกาสการเกิดกรณี STARK อีก



นายสุพจน์ สิงห์เสน่ห์ เลขาธิการ สภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า มีสภาจรรยาบรรณผู้สอบบัญชี ทำหน้าที่ลงโทษผู้สอบบัญชีกรณีทำผิด โดยบทลงโทษสูงสุด คือการพักหรือเพิกถอนใบอนุญาตเท่านั้น บทบาทของสภาวิชาชีพบัญชีมีสองเรื่องหลัก ได้แก่ 1. การจัดทำตามมาตรฐานผู้สอบบัญชี ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับและใช้กันทั่วโลก 2.การจัดทดสอบผู้ต้องการเป็นผู้สอบบัญชีรับใบอนุญาต “ยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมามีผู้ส่งเรื่องร้องเรียน กรณี STARK ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยสภาวิชาชีพบัญชีพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำรงไว้ซึ่งความเชื่อมั่นในวิชาชีพบัญชีและตลาดทุนไทย”



นายธวัชชัยกล่าวเสริมกรณีนี้ว่า ปัจจุบัน ก.ล.ต.ให้ความเห็นชอบผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ที่ทำหน้าที่ในตลาดทุนเป็นรายบุคคลเท่านั้น หากพบข้อสงสัยในการทำหน้าที่จะเข้าไปตรวจสอบและหารือร่วมกับสภาวิชาชีพบัญชี ซึ่งบทลงโทษของสภาจรรยาบรรณวิชาชีพบัญชี คือการพักหรือเพิกถอนใบอนุญาต ถือเป็นการลงโทษที่ร้ายแรงมากอยู่แล้ว แต่หากพบการมีการสนับสนุนหรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดของ STARK ก็ต้องมีโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ร้ายแรงมากกว่า ส่วนการขึ้นบัญชีดำบริษัทหรือสำนักสอบบัญชีที่ทำหน้าที่ในตลาดทุนนั้น ก.ล.ต.ไม่ได้กำกับดูแลในส่วนของบริษัท



นายศักดิ์ดา พงศ์เจริญยง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด กล่าวว่า ทริสเรทติ้งจะปรับปรุงขั้นตอนการคัดกรองบริษัทผู้ออกหุ้นกู้หรือตราสารการเงินให้เข้มงวดขึ้น โดยจะเพิ่มความระมัดระวัง สำหรับบริษัทที่เข้าตลาดฯโดย Back door Listing และบริษัทที่เน้นการเติบโตหรือการขยายธุรกิจโดยการเข้าซืิ้อกิจการอื่น โดยไม่ได้สร้างธุรกิจด้วยตัวเอง รวมถึงจะหลีกเลี่ยงการจัดอันดับความน่าเชื่อถือให้กับผู้ออกตราสารที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือผู้บริหารที่มีประวัติหรือชื่อเสียงในทางลบ ขณะที่นางสิริพร จังตระกุล เลขาธิการ สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กล่าวว่า ได้เปิดระบบลงทะเบียนให้ผู้ลงทุนที่เสียหายจากการลงทุนในหุ้น STARK เพื่อร่วมกันฟ้องคดีแบบกลุ่ม ล่าสุดรวบรวมรายชื่อผู้เสียหายที่ลงทะเบียน 1,759 ราย รวมมูลค่าความเสียหาย 4,063 ล้านบาท.


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/dA0Y5tXMJJY

คุณอาจสนใจ

Related News