เปิด 3 สูตรคำนวณค่าเอฟที จ่อเคาะค่าไฟงวดพ.ค.-ส.ค. อัตราเดิม 4.18 บาท

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ สำนักงาน กกพ. เปิดเผยว่า กกพ. ได้มีมติรับทราบภาระต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจริง ประจำรอบเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 และเห็นชอบผลการคำนวณประมาณค่าเอฟที สำหรับงวดเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2567 พร้อมให้สำนักงาน กกพ. นำไปรับฟังความคิดเห็น ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กรณี

กรณีที่ 1 จ่ายคืนหนี้ กฟผ.ทั้งหมด 99,689 ล้านบาท ในงวดเดียว ซึ่งค่าเอฟทีเรียกเก็บจะอยู่ที่ 165.24 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บ เพิ่มขึ้นเป็น 5.4357 บาทต่อหน่วย

กรณีที่ 2 จ่ายคืนหนี้ กฟผ. 4 งวดๆ 24,922 บาท ค่าเอฟทีเรียกเก็บอยู่ที่ 55.72 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐาน ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บจะอยู่ที่ 4.3405 บาทต่อหน่วย

และกรณีที่ 3 ตรึงค่าเอฟทีไว้เท่ากับงวดปัจจุบันตามที่ กฟผ. เสนอ หรือแบ่งจ่ายคืนหนี้ กฟผ. 7 งวด งวด 14,000 ล้านบาท ค่าเอฟทีเรียกเก็บคงเดิมที่ 39.72 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บ 4.1805 บาทต่อหน่วย เท่ากับค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน พร้อมเสนอกระทรวงพลังงาน หามาตรการช่วยกลุ่มเปราะบาง

ซึ่งการผลการคำนวณประมาณค่าเอฟที และแนวทางการจ่ายภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. ทั้ง 3 กรณี เป็นไปตามการประมาณการต้นทุนเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าที่ลดลง มีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนราคา LNG ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และส่งผลทำให้ราคาประมาณการ Pool Gas ลดลงจาก 333 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาทต่อล้านบีทียู โดย กกพ. จะเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันนี้ 8 มีนาคม ถึง 22 มีนาคม ก่อนที่จะประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

ทั้งนี้ ได้มีการคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) ปีนี้ ได้เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อวานนี้ (7 มี.ค.) ที่ระดับ 32,704 เมกะวัตต์ เมื่อเวลา 19.47 น. ที่อุณหภูมิ 30.8 องศาเซลเซียส แต่ยังต่ำกว่าค่าไฟพีคของปีก่อน ที่เกิดขึ้นในวันที่ 6 พฤษภาคม เวลา 21.41.น. ที่ระดับ 34,130 .5 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ดีขอความร่วมมือประชาชนให้ตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ เพราะประชาชนอาจจะใช้ไฟเท่าเดิม แต่อุณหภูมิที่แตกต่างจะทำให้ค่าไฟเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว