อาชญากรรม

แพทย์ยืนยัน ผลตรวจเส้นผม 2 ตายาย ถูกลูกสาววางยา พบสารกล่อมประสาทช่วง ส.ค.65

โดย nattachat_c

2 พ.ย. 2566

358 views

สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เปิดผลตรวจเส้นผมของตา – ยาย พบสารกล่อมประสาทในร่างกายช่วงเดือนสิงหาคมปี 65 ตรงไทม์ไลน์ที่อาศัยอยู่กับลูกสาวคนเล็ก ทีมนักวิทยาศาสตร์ ชี้สารที่พบเป็นยาควบคุม ไม่จ่ายรักษาเป็นการทั่วไป ด้านตายาย เสียใจหลังรู้ผล ยันไม่ให้อภัย พร้อมตัดขาด ลูกสาวคนเล็ก แม้จะมาขอขมา ลุยดำเนินคดีให้ถึงที่สุด


จากกรณีที่ตา-ยายมาร้องเรียนกับเพจสายไหมต้องรอดว่า ถูกลูกสาวคนเล็กวางยาเพื่อฮุบสมบัติกว่า 500 ล้านบาท ผ่านการโอนทรัพย์สินต่าง ๆ ไปเป็นชื่อลูกสาวคนเล็ก โดยไม่รู้ตัว และนำเงินไปใช้


วานนี้ (1 พ.ย. 66) ทีมข่าวได้รับคลิปเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นกับตายาย


คลิปแรก

เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา หลังจากคุณยายเพิ่งหยุดยาได้ประมาณ 10 วัน ขณะที่ หลานสาวเข้าไปพูดคุยกับคุณยายถึงเรื่องการแจ้งข่าวดำเนินคดีกับลูกสาวคนเล็ก จะสังเกตเห็นว่า คุณยายยังคงมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ และยังมีอาการผิดปกติ จากการใช้ยาอยู่


คลิปสอง

เป็นคลิปตอนคุณตาคุณยายกลับไปที่บ้านลูกสาวคนเล็ก เพื่อเก็บข้าวของ เมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา แต่ถูกลูกสาวคนเล็ก และลูกเขย กีดกันขับไล่ จนมีการปะทะคารมกัน

--------------

ส่วนการพาสองตายายไปตรวจเส้นผม เพื่อหาสารพิษที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม


วานนี้ (1 พ.ย. 66) นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้พาสองตายายมายังศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อฟังผลการตรวจเส้นผมของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์


เบื้องต้น จากการตรวจเส้นผมของยาย พบสารเคมีบางชนิดที่เป็นสารเสพติด ซึ่งจากการตรวจสอบย้อนหลังกลับไป พบว่า เป็นยาที่อยู่ในช่วงที่อยู่ลูกสาวคนเล็กพอดี ค่อนข้างชัดเจนว่า ยายและตาถูกวางยา ในช่วงเวลาที่พำนักกับลูกสาวคนเล็ก

--------------

ด้าน นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ประจำรองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า


ทางศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ทำหน้าที่แจ้งผลการตรวจจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ให้ตายายรับทราบ เท่านั้น


ส่วนหลังจากนี้ ในทางคดีเป็นเรื่องของตำรวจ โดยผลของเส้นผมคุณตานั้น ไม่พบสารหรือวัตถุออกฤทธิ์แต่อย่างใด ส่วนผลของเส้นผมคุณยายนั้น พบสารออกฤทธิ์ส่งผลต่อการกล่อมประสาท แต่ขอสงวนชื่อยา แต่เป็นยาที่วัยรุ่นชอบนำไปผสมเป็นยามึนเมา 4×100


ด้านทีมนักวิทยาศาสตร์ประจำสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ระบุว่า ยาที่ตรวจเจอเป็นยาแก้ปวดชนิดรุนแรง ที่มีความรุนแรงระหว่างพาราเซตามอลกับมอร์ฟิน


โดยผลการตรวจเส้นผมคุณตาคุณยาย พบว่า ตัวอย่างที่ได้มาจากเส้นผมของคุณตา มีความยาวเพียง 5.2 เซนติเมตร จึงทำให้ย้อนกลับไปได้เพียงแค่ 5 เดือน คือประมาณพฤษภาคมที่ผ่านมา จึงไม่พบตัวยาที่ผิดปกติ พบเพียงแต่ยาที่ทานตามปกติเพื่อรักษาอาการ 3 - 4 ตัว 


ส่วนผมของคุณยาย มีความยาวถึง 13.7 เซนติเมตร สามารถตรวจย้อนไปถึงเดือนสิงหาคม 2565 จึงมีการตรวจเปรียบเทียบกันในช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 กับ เดือนสิงหาคม 2565 ที่อยู่กับลูกสาวคนเล็ก พบว่า ทั้งสองช่วงเวลา มียาที่คุณยายทานรักษาอาการปกติประมาณ 3 - 4 ตัว


แต่ในช่วงเดือนสิงหาคม 2565 ปรากฏว่า มีสารยาถึง 6 - 7 ตัว โดยตัวที่เพิ่มมา 2-3 ชนิด พบว่าเป็นยารักษาอาการแก้ปวดชนิดรุนแรง เชื่อว่าเป็นยาที่ทานในระหว่างอยู่กับลูกสาวคนเล็ก


โดยยาตัวนี้ในทางการแพทย์ ถือว่าเป็นยาที่ต้องควบคุมอย่างยิ่ง จะไม่มีการจ่ายรักษาเป็นการทั่วไป ยิ่งอาการป่วยของคุณตาคุณยายิ่งไม่สามารถทานร่วมกับยาตัวอื่นกับของคุณตาคุณยายได้ เนื่องจากยากลุ่มนี้ มีผลต่อสารสื่อประสาท และมีปฏิกิริยาร่วมกับยารักษาทั่วไปของคุณตาคุณยาย จะส่งผลต่อการระบบประสาทและทำลายสมอง จึงส่งผลให้ที่ผ่านมา คุณตาคุณยายมีอาการเบลอ หากกินมากเกินไปอาจจะเสียชีวิต


ที่ผ่านมา คุณตาคุณยายประสาทดีขึ้น เพราะไม่มียาตัวนี้ตั้งแต่พฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ ก็ไม่ทราบว่า เหตุใดถึงนำยาตัวนี้มาให้คุณตาคุณยายทาน ไม่ทราบว่า ทั้งคู่มีอาการปวดถึงขนาดต้องกินยาหรือไม่ ซึ่งต้องเป็นเรื่องการสืบสวนสอบสวนของทางตำรวจต่อไป

--------------

ด้านคุณตาคุณยาย กล่าวว่า ปกติลูกสาวคนเล็กจะเป็นคนจัดยามาให้ทาน ซึ่งตนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ายาที่ลูกสาวจะมาให้ทานมียาอะไรบ้าง แต่ยาตัวนี้ปกติจะจัดให้ทานทุกวัน วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 2-3 เม็ด และไม่ใช่เป็นยาที่หมอจัดให้ทาน


ทั้งคู่รู้สึกเสียใจกับการกระทำที่เกิดขึ้น ไม่น่ามาทำกับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ หลังจากนี้ หากลูกสาวมาขอขมาลาโทษ ก็จะไม่ให้อภัย และจะแจ้งความดำเนินคดีให้ถึงที่สุด พร้อมที่จะตัดขาดจากความเป็นพ่อแม่ลูก เพราะสมบัติทุกอย่างลูกสาวคนเล็กก็เอาไปหมดแล้ว ทุกวันนี้ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว


เชื่อว่า ตัวลูกเขย หรือสามีของลูกสาวคนเล็กก็มีส่วนรู้เห็น เพราะลูกเขยมีส่วนพัวพันเกี่ยวกับยาเสพติด และชอบพูดจาก้าวร้าวกับตนมาโดยตลอด

--------------

ด้าน น.ส.อาภาพัสร์ พันธุ์มุง หลานสาวของตายาย กล่าวว่า


จากผลตรวจของทางแพทย์ ยืนยันว่า ไม่ใช่ยาที่คุณตาคุณยายทานเป็นปกติเพื่อรักษาอาการป่วย ซึ่งยาดังกล่าว หากให้ในปริมาณที่มากจะมีผลเป็นสารเสพติดได้ เชื่อว่า คนที่เอามาทานน่าจะมีความรู้เรื่องยาพอสมควร เพื่อให้ออกฤทธิ์กล่อมประสาท ส่วนเรื่องการดำเนินคดีหลังจากนี้ จะต้องไปปรึกษาทนายความ และตำรวจต่อไป

--------------

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจาก 2 ตายาย เชื่อว่าถูกลูกสาวคนเล็กและสามี ร่วมกันวางยากล่อมประสาท และสงสัยว่ามีการเอายาบ้าผสมกับยาที่รักษาโรคประจำตัวให้กิน เพราะเมื่อกินยาไปแล้ว มีอาการเบลอ ปากแห้ง ตาค้าง และบางทีมีการชักเกร็ง


นอกจากนี้ ระหว่างที่ 2 ตายาย อยู่ที่บ้านของลูกสาวคนเล็ก ยังถูกกักบริเวณ ไม่ให้ออกมานอกบ้าน ที่สำคัญลูกสาวคนเล็กยังได้มีการถอนเงินจากบัญชีของ 2 ตายาย รวมกัน 16 ล้านบาท โดยเป็นบัญชีของคุณตา 10 ล้านบาท และคุณยาย 6 ล้านบาท


นอกจากนี้ ลูกสาวคนเล็กยังเอาโฉนดที่ดินที่จังหวัดนครราชสีมา รวมกว่า 100 ไร่ ไปจำนอง อีก 500 ล้านบาท ทำให้ทั้งคุณตา และคุณยาย แทบกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะการกระทำของลูกสาวคนเล็กและสามี


สุดท้ายทั้งคุณตา คุณยาย หนีออกมาจากบ้านลูกสาว และมาอยู่กับลูกสาวคนโต และได้มาขอความช่วยเหลือกับเพจสายไหมต้องรอด และ มาร้องเรียนความเป็นธรรม ในรายการโหนกระแส


และเมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา นายเอกภพ ได้พาคุณตา และคุณยาย ไปขอความช่วยเหลือกับ นายกองตรี ธนกฤต จิตอารีรัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี


โดยที่คุณตา คุณยาย ได้ถูกส่งตัวไปที่สถานบันนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อตรวจหาสารเสพติดทางเส้นผม


ล่าสุด ผลการตรวจสอบจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ออกมาแล้วพบว่า พบสารกล่อมประสาทในเส้นผลของคุณยาย หากย้อนไปก็จะอยู่ช่วงเดือนสิงหาคม 2565 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อยู่กับลูกสาวคนเล็ก

-------------



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/cIokkSWzU94

คุณอาจสนใจ

Related News