อาชญากรรม

พ่อร้องสื่อ ยังไร้การเยียวยาจากบริษัทรถ ปมขับกระบะป้ายแดงพวงมาลัยล็อกชนสะพาน ทำลูกดับ

โดย nutda_t

12 ต.ค. 2566

1.4K views

จากกรณีเหตุรถกระบะป้ายแดง 4 ประตู ซึ่งมีพ่อแม่ และลูกชายอีก 2 คน ขับขึ้นทางด่วนพิเศษกาญจนาภิเษก ต.บางหญ้าแพรก อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งที่เกิดเหตุเป็นช่วงสะพานที่จะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา สูงกว่า 50 เมตร แล้วจู่ๆได้ขับเบี่ยงจากเลนขวาสุดไปซ้ายสุด ก่อนจะชนขอบสะพานเข้าอย่างแรง ทำให้เด็กชายวัย 6 ขวบ ที่กำลังนอนหลับอยู่เบาะหลัง กระเด็นพุ่งออกจากกระจกข้างซ้าย ซึ่งตอนแรกพ่อแม่คิดว่าลูกคงกระเด็นออกไปนอกรถ แต่พอลงมาดูรอบๆรถกลับไม่พบร่างลูก สุดท้ายพบว่าร่างของลูก กระเด็นตกจากสะพานที่สูงกว่า 50 เมตร ลงมาเสียชีวิตด้านล่าง

โดย นายอาทิตย์ ผู้เป็นพ่อ ให้การในขณะนั้นว่า ตนเองกำลังขับแซงรถบรรทุกจากเลนด้านขวาสุด แต่จู่ๆ พวงมาลัยเกิดล็อก ทำให้รถเลี้ยวไปทางซ้าย และพยายามบังคับพวงมาลัยกลับแต่บังคับไม่ได้ จึงพยายามเหยียบเบรกแต่ก็ไม่ทัน เพราะรถไปชนเข้ากับขอบสะพาน

ล่าสุด วันนี้ นายอาทิตย์ ได้หอบเอกสารหลักฐาน มาพบผู้สื่อข่าวหลังจากเรื่องผ่านมากว่า 8 เดือน โดย นายอาทิตย์ เปิดเผยกับทีมข่าวช่อง 3 ว่าตอนนี้ตนเองได้รวบรวมเอกสารและหลักฐานมากพอสมควร ซึ่งประเด็นแรกเรื่องผลตรวจทางเทคนิคของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผลการตรวจพิสูจน์หลักฐาน ต่างๆจากที่เกิดเหตุ ตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ จนถึงวันนี้ตนเองไม่เคยได้รู้หรือทราบรายละเอียด เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 66 ตำรวจเข้ามาตรวจสอบถ่ายรูปที่เกิดเหตุและลากรถไปไว้ที่ สน. จากนั้น วันที่ 23 ก.พ. 66 กองพิสูจน์หลักฐานลงพื้นที่ตรวจที่เกิดเหตุอีกรอบ พร้อมเก็บกล้องหน้าและนำกล่อง ECU หรือ สมองกลของรถยนต์ หากเปรียบเทียบกับเครื่องบินก็คือกล่องดำ ที่จะทำหน้าที่บันทึกข้อมูลทุกอย่างตั้งแต่สตาร์ทรถ การขับขี่ ความเร็ว จนถึงตอนเกิดอุบัติเหตุ


จากนั้นผ่านมานานกว่า 3 เดือน วันที่ 12 พ.ค. 66 ผลตรวจ ECU จาก 6 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาแล้ว แต่ตำรวจไม่ให้ดู อ้างว่าเป็นความลับในสำนวนคดี แต่แจ้งกับทางตนเองว่า ผลตรวจพบว่ารถเป็นปกติ พวงมาลัยไม่หัก พวงมาลัยไม่ล็อก แถมมีการเหยียบคันเร่งส่งอีกด้วย ซึ่งเป็นความประมาทของผู้ขับขี่


ซึ่ง นายอาทิตย์ บอกว่า เรื่องความประมาทที่ตนเองไม่ให้ลูกชายคาดเข็มขัดนิรภัย อันนี้ตนเองยอมรับได้ แต่ตนเองพยายามขอดูรายละเอียดผลตรวจทางเทคนิค ตำรวจก็ไม่ยอมให้ดู และบอกด้วยว่า เรื่องนี้ควรจบได้แล้ว อย่าสู้ต่อเลย สู้ไปก็ไม่ชนะ แต่ตนบอกว่าสิ่งที่ตำรวจชี้แจงมาขัดแย้งกับหลักฐานที่ตัวเองมี คือกล้องหน้ารถของตนเอง มีการบันทึกภาพไว้ขณะเกิดเหตุ ซึ่งกล้องมีการคำนวณความเร็ว พบว่าความเร็วลดลง ไม่ได้เร่งเพิ่มขึ้นตามที่ตำรวจระบุ


ส่วนประเด็นเรื่องมาตรฐานของรถ ซึ่งกรณีของตนเองมีผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ออกมาให้ความเห็นว่า จากที่ดูคลิปหน้ารถคันที่เกิดเหตุ พบว่าก่อนที่รถจะเซเข้าด้านซ้าย เสียงเพลงที่กำลังเล่นอยู่ดับลงก่อนที่รถจะเซไป ซึ่งต้องหาคำตอบว่าเกิดจากอะไร อาจเป็นเพราะระบบไฟฟ้าขัดข้องและพวงมาลัยรถรุ่นใหม่เป็นพวงมาลัยพาวเวอร์ที่มีระบบไฟฟ้ามาเกี่ยวข้อง ตนเองจึงมองว่า การตรวจเฉพาะกล่อง ECU อาจจะไม่เพียงพอต้องตรวจเช็กทั้งระบบ


นอกจากนี้ในคู่มือการใช้รถเขียนระบุไว้ชัดเจนว่า ระบบถุงลมนิรภัย หรือ airbag จะทำงาน เมื่อรถอยู่ที่ความเร็ว 20-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งกรณีของตนเองนั้น เกิดอุบัติเหตุที่ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และการชนเป็นการชนจากด้านหน้ามาจนถึงด้านข้างจนกระจกแตก แต่ระบบ airbag ด้านข้างกลับไม่ทำงาน


และประเด็นสุดท้าย ตนเองอยากฝากถามเรื่องมนุษยธรรม ไปยังบริษัทเจ้าของรถคันที่เกิดอุบัติเหตุ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง ทางบริษัทไม่เคยมีการเข้ามาพูดคุยทำความเข้าใจหรืออธิบายทั้งเรื่องผลตรวจทางเทคนิคและการเยียวยาใดๆให้กับทางลูกค้าเลย ซึ่งตนเองไม่ได้ต้องการเรียกร้องเงิน เพราะว่าเงินมากแค่ไหนก็แลกชีวิตลูกชายตนเองกลับมาไม่ได้ แต่ทางบริษัทไม่เข้ามาคุยเรื่องการเยียวยายังไม่พอ ทุกวันนี้ตนเองยังต้องนั่งผ่อนค่างวดรถคันดังกล่าวที่เกิดอุบัติเหตุ ตนเองต้องการคืนรถดังกล่าวกลับไปให้บริษัท เพราะหากซ่อมเสร็จได้รถกลับ ตนเองคงไม่กล้าใช้งานอีก จึงอยากให้บริษัทรับรถกลับคืนไปและคืนเงินดาวน์เงินที่ผ่อนไปทั้งหมด


นอกจากนี้ นายอาทิตย์ ยังบอกอีกว่า ตั้งแต่เกิดเรื่อง ตนเองต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมาน ต้องปรึกษาจิตแพทย์เป็นประจำ ทุกวันนี้ไม่กล้าที่จะขับรถอีกเลย บางครั้งที่นั่งรถไปและรถขึ้นสะพาน ตนเองยังหวาดผวาอยู่ตลอด และบริษัทมีการพูดข่มขู่ด้วยว่าหากไปให้ข่าวและทำให้บริษัทเสียหาย ระวังจะถูกฟ้อง ตนเองจึงอยากขอความเห็นใจจากบริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าของรถคันดังกล่าว ตนเองเป็นแค่ผู้บริโภคตัวเล็กๆ ที่ต้องเจอกับเหตุการณ์การสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต วันนี้แค่อยากได้รับความเป็นธรรมเท่านั้น

คุณอาจสนใจ