อาชญากรรม

เปิดบทสนทนาเด็ก 14 โทร.แจ้ง 191 หลังก่อเหตุบอก “ผมเป็นคนยิงเอง” อ้างมอบตัวไม่ได้ มีเงาดำเต็มไปหมด

โดย petchpawee_k

5 ต.ค. 2566

346 views

ผู้กองศูนย์วิทยุผ่านฟ้า-เจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุ ใช้เวลาเกือบ 23 นาที 41 วินาที เจรจาเกลี้ยกล่อม “ผู้ก่อเหตุ” วัย 14 ปี  หลังผู้ก่อเหตุโทรศัพท์แจ้ง 191 เหตุยิงกันที่พารากอน “ผมเป็นคนยิงเอง” และบอกว่า “ผมกำลังเอาอาวุธจ่อตัวเองอยู่” จนท.พยายามเกลี้ยกล่อมให้ใจเย็นๆ วางปืนและยอมมอบตัว


วานนี้ (4 ต.ค.) ร้อยตำรวจเอก พศวัต จงจิตร รองสารวัตรชุดปฏิบัติการ กองกำกับการศูนย์รวมข่าวกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ 191 เล่าเหตุการณ์ กรณีที่เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมา ผู้ก่อเหตุ วัย 14 ปี ได้โทรศัพท์เข้ามาแจ้ง 191 ว่าตนเองเป็นผู้ก่อเหตุยิงในห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ซึ่งตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่รับสายก็ได้ร่วมกันพยายามเกลี้ยกล่อมผู้ก่อเหตุผ่านโทรศัพท์ให้ยอมวางอาวุธ จนตำรวจที่อยู่ในที่เกิดเหตุ สามารถเข้าควบคุมตัวไว้ได้ในที่สุด


ร้อยตำรวจเอกพศวัต กล่าวว่า เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ตอนช่วงประมาณ 5 โมงเย็น ผู้ก่อเหตุได้โทรศัพท์เข้ามาที่สายด่วน 191 และบอกว่า “ผมเป็นคนยิงที่พารากอนเอง” เจ้าหน้าที่ที่รับสายจึงรีบยกมือให้หัวหน้างานเข้ามาคุย ตนเองได้เข้าไปฟังด้วย และคอยแนะนำเจ้าหน้าที่ว่าต้องพูดอย่างไร ร่วมกับผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษที่โทรเข้ามาสั่งการด้วย ซึ่งบรรยากาศตอนนั้นทุกคนวิ่งไปวิ่งมา เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด



โดยตนได้ให้เจ้าหน้าที่สอบถามไปว่า ต้องการจะให้ช่วยอย่างไร อยากพบเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ ซึ่งตอนนั้นผู้ก่อเหตุมีลักษณะอยู่ในอาการตกใจ และมีแนวโน้มจะทำร้ายตัวเอง เพราะบอกกับเจ้าหน้าที่ด้วยว่า “ผมกำลังเอาอาวุธจ่อตัวเองอยู่” จึงต้องพยายามเกลี้ยกล่อม บอกให้ผู้ก่อเหตุใจเย็นๆ ให้วางอาวุธ และยอมมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง


ขณะเดียวกัน ก็พยายามสอบถามพิกัด เพราะขณะนั้น ตำรวจที่ปฏิบัติงานในที่เกิดเหตุ ยังไม่รู้ว่าผู้ก่อเหตุอยู่จุดไหนของห้าง ซึ่งผู้ก่อเหตุ ก็บอกว่า อยู่ในร้านเฟอร์นิเจอร์ โดยเจ้าหน้าที่รู้ว่าร้านเฟอร์นิเจอร์อยู่ชั้น 3 จึงถามไปว่าใช่ชั้น 3 หรือไม่ ผู้ก่อเหตุ ก็ตอบว่าใช่ และถามลักษณะการแต่งกาย ผู้ก่อเหตุก็ตอบตามจริง คือ ใส่เสื้อสีดำแขนยาว กางเกงลายทหารสีน้ำตาล สวมหมวกแก๊ป


พอได้ข้อมูลทั้งหมด ตนจึงรีบประสานงานไปยังศูนย์วิทยุนารายณ์ กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 และระหว่างที่ตำรวจหน้างานกำลังเข้าไปหาผู้ก่อเหตุ ทางตนและเจ้าหน้าที่ก็พยายามเกลี้ยกล่อมอยู่ตลอด ซึ่งผู้ก่อเหตุ ดูตกใจมาก พูดจาไม่ชัดเจน วกไปวนมา ฟังค่อนข้างยาก ลักษณะคือกลัวไม่ปลอดภัย พอคุยไปสักพัก ผู้ก่อเหตุก็เริ่มร้องไห้ บอกว่า “ผมอายุแค่ 14 ปีเองนะครับ ผมจะติดคุกไหม ผมจะปลอดภัยไหม”


ตอนนั้นเจ้าหน้าที่ไม่ได้ตอบคำถามอะไร เพียงแต่บอกให้ใจเย็นๆ ให้วางอาวุธ ถ้าไม่วางอาวุธอาจจะได้รับอันตรายซึ่งผู้ก่อเหตุก็ฟัง ไม่ได้มีอาการต่อต้าน โดยตอนที่ตำรวจหน้างานขึ้นไปถึงหน้าร้าน


 จากนั้นตนก็ได้บอกว่า ให้เดินออกไปหาเจ้าหน้าที่ แต่ผู้ก่อเหตุบอกว่าเดินออกไปไม่ไหว เพราะตัวชา นั่งอยู่บนโซฟาจึงบอกให้ยกมือขึ้น วางอาวุธลง จนตำรวจหน้างานได้เข้ามาควบคุมตัวไว้ได้ ใช้เวลาจากตอนที่โทรศัพท์เข้ามาประมาณ 20 นาที



ทั้งนี้ ที่ผ่านมายังไม่เคยมีเหตุการณ์ใหญ่เหตุการณ์ไหนที่ผู้ก่อเหตุจะโทรมาแจ้งที่ 191 เองว่าตัวเองเป็นผู้กระทำ ครั้งนี้ถือเป็นเคสแรก ยอมรับว่าตอนแรก ก็มีคิดว่าเป็นการโทรมาหลอกเจ้าหน้าที่หรือไม่ แต่พอได้คุยแล้วก็เชื่อว่า ผู้ก่อเหตุอยู่ในอาการตกใจจริงๆ และต้องการคำปรึกษา ต้องการไปอยู่ในที่ปลอดภัย ซึ่งตนก็มีหน้าที่ต้องประสานงานไปยังหน่วยปฏิบัติการให้เร็วที่สุด


ด้าน พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ เผยว่า ผู้ก่อเหตุ โทรศัพท์มาที่ 191 ตอนเวลา 16.46 น. มีเจ้าหน้าที่หญิงเป็นคนรับสาย จากนั้นตัวผู้ก่อเหตุก็ถามว่า รับทราบรึยังว่ามีเหตุยิงกันที่พารากอน เจ้าหน้าที่ตอบว่า รับทราบแล้ว มีประชาชนแจ้งมา จากนั้นผู้ก่อเหตุจึงบอกว่า “ผมเป็นคนยิงเอง” พอทราบว่าเป็นตัวผู้ก่อเหตุ เลยให้เจ้าหน้าที่ชายที่มีประสบการณ์ในการเจรจาเป็นผู้พูดคุยกับผู้ก่อเหตุ เพราะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องน้ำเสียง สติ โดยมีผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษเป็นผู้ควบคุมสั่งการ ซึ่งมีทีมเจรจารวมอยู่ทั้งสิ้น 7 คน


 โดยขั้นตอนการเจรจา เริ่มจากการสอบถาม “ชื่อ อายุ แต่งกายอย่างไร และพิกัด” ซึ่งตัวผู้ก่อเหตุก็ตอบชัดเจนว่าชื่ออะไร / อายุ 14 ปี / แต่งกายด้วยเสื้อสีดำ กางเกงลายพรางทหารสีน้ำตาล สวมหมวก และแจ้งพิกัดคืออยู่ร้านเฟอร์นิเจอร์แห่งหนึ่งชั้น3


จากการพูดคุยช่วงแรกจับอาการได้ว่า ผู้ก่อเหตุค่อนข้างเครียด และมีลักษณะจะทำร้ายตัวเอง ทีมเจรจาจึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้ใจเย็น มีสติ ให้ล้มเลิกความคิดการทำร้ายตัวเอง ระหว่างพูดคุย ทางผู้ก่อเหตุก็บอกตลอดว่า ตนเองยิงคนได้รับบาดเจ็บ และต้องถูกดำเนินคดีแน่นอน ซึ่งสาเหตุที่โทรมาหา 191 ทางผู้การสันนิษฐานว่าเป็นเพราะหลังก่อเหตุเด็กไม่รู้ว่าจะปรึกษาใครก็เลยโทรมา 191


ระหว่างที่คุยก็ทราบว่า ผู้ก่อเหตุมีอาการป่วย เพราะมีบางช่วงที่บอกว่าไม่ได้ทานยามานานแล้ว และผู้ก่อเหตุมีการถามถึงคุณพ่ออยู่ตลอด พอเริ่มคุยและเจรจาเรื่อยๆ ผู้ก่อเหตุก็เริ่มใจเย็นลงและเริ่มฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ที่ให้มอบตัว แต่ผู้ก่อเหตุพูดกับทีมเจรจาว่า มอบตัวไม่ได้ เพราะมีเงาดำ อยู่เต็มไปหมดเลย และไม่ยอมให้ผู้ก่อเหตุเดินออกไป


ชุดเจรจาจึงแนะนำให้วางอาวุธ เอาอาวุธออกห่างจากตัว ยกมือขึ้นสูงเอาไว้ท้ายทอย และนั่งลง ตอนแรกเจ้าหน้าที่ชุดเจรจาก็บอกให้เดินเข้าไปหาตำรวจ แต่ผู้ก่อเหตุอ้างว่าเดินไปไม่ได้เพราะมีเงา ไม่กล้าเข้าไป และบอกว่าให้ตำรวจเข้ามาได้หรือไม่ จึงได้แนะนำให้ผู้ก่อเหตุชูมือขึ้น และนั่งลงกับพื้น ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการหน้างาน จะเข้าชาร์จตัว โดยอยู่ในสายกันยาวนานถึง 23 นาที 41 วินาที โดยระหว่างพูดคุย ก็บอกกับผู้ก่อเหตุตลอดว่า “ขอให้เชื่อมั่นว่าทำตามที่เจ้าหน้าที่บอกน้องจะปลอดภัย”

--------------------------------------------------------

เปิดใจ! “ส.ต.ท.นันทนัช-ส.ต.ท.กร” ตำรวจที่เข้าระงับเหตุควบคุมตัวเด็ก 14 กราดยิงห้างดัง เผย กลัวว่าจุดที่คนร้ายอยู่จะมีตัวประกันหวั่นได้รับอันตราย เมื่อควบคุมตัวคนร้ายได้รู้สึกโล่ง ยอมรับกลัวเพราะถือเป็นแหตุการณ์ใหญ่ที่ต้องเข้าควบคุมสถานการณ์ในชีวิตราชการครั้งแรก


ด้าน ส.ต.ท.นันทนัช สุธรรม และ ส.ต.ท.กร ศรีพรหม ผบ.หมู่ (ป.) สน.สำราญราษฎร์ ตำรวจที่ปรากฎภาพในกล้องวงจรปิด ที่เข้าไประงับเหตุและควบคุมตัวเด็กชายวัย 14 ปี ที่ซ่อนตัวอยู่ในร้านขายเฟอร์นิเจอร์  เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ตอนที่ตนและกำลังตำรวจอีกส่วนหนึ่งเข้าไปในห้าง มี รปภ.คอยช่วยแจ้งพิกัดของคนร้าย พวกตนเริ่มเคลียร์พื้นที่ตั้งแต่ชั้น G ขึ้นไปชั้น 3 กระทั่งเจอ ร.ต.อ.ธัญอมร หนูนารถ รอง สวป.สน.ปทุมวัน ที่ชั้น 3  


ร.ต.อ.ธัญอมร สั่งให้ระวัง ซึ่งตนและ ส.ต.ท.กร ทำหน้าที่ Cover ให้กับ ร.ต.อ.ธัญอมร พอเดินไปถึงบันไดเลื่อนก็สังเกตเห็นคนร้ายยืนชูมืออยู่ในร้านเฟอร์นิเจอร์ แต่ไม่เห็นปืนเพราะมองในระยะไกล จากนั้นตนจึงบอก ร.ต.อ.ธัญอมร แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้จุดที่คนร้ายอยู่ วางแผนเข้าไประงับเหตุ จนควบคุมตัวคนร้ายได้ โดยมี ร.ต.อ.ธัญอมร เป็นคนออกคำสั่งตามยุทธวิธี


“ยอมรับพอเข้าไปในพื้นที่เกิดเหตุก็รู้สึกกลัว ห่วงชีวิตเพราะตนมีลูกชายวัย 3 ขวบที่ต้องดูแล  อีกทั้งในร้านเฟอร์นิเจอร์ที่คนร้ายอยู่นั้นก็มีพนักงานของร้านพากันหลบซ่อนอยู่หลังร้านกว่า 10 คน ภายในห้องเดียวกัน โดยตำรวจเข้าไปเจอหลังจากที่ควบคุมตัวคนร้ายได้แล้ว ทั้งนี้ตอนที่ตนได้คุยกับเด็กวัย 14 ที่ก่อเหตุ เขามีอาการเบลอๆ เขาไม่ได้พูดอะไร ได้ยินคนร้ายพูดว่ามีคนสั่งมา”


จากการเคลียร์พื้นที่ยังพบดิ้วตกอยู่บริเวณดังกล่าว ส่วนที่เอวมีเข็มขัดยุทธวิธี อย่างไรก็ตามยุทธวิธีที่ได้ฝึกมาสามารถนำมาใช้ได้จริง รู้สึกดีใจที่คนชื่นชมและดีใจที่สามารถช่วยไม่ให้เกิดความสูญเสียมากกว่านี้ ซึ่งไม่ได้มีตำรวจแค่ 4-5 คน เท่านั้น ยังมีตำรวจอีกหลายนาย หลายหน่วยอยู่ในพื้นที่เพื่อช่วยกันระงับเหตุ


ด้าน ส.ต.ท.กร เล่านาทีที่เข้าจับกุมว่า ทีแรกได้รับแจ้งสนับสนุนให้นำกำลังไปที่สยามพารากอน คิดว่าเป็นเหตุนักเรียนตีกัน แต่เมื่อตนและเพื่อนๆ อีก 3 นาย ไปถึง จึงรู้ว่าเป็นเหตุการณ์ยิงกันในห้างสรรพสินค้า ยอมรับว่ากลัวเพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องเข้าควบคุมสถานการณ์แบบนี้ ในชีวิตราชการครั้งแรก



ซึ่งหลังจากขึ้นบันไดเลื่อนไปพบกับ ร.ต.อ.ธัญอมร หนูนารถ รอง สวป.สน.ปทุมวัน ที่ชั้น 3 ก็ได้แบ่งหน้าที่การทำงานทาง ร.ต.อ.ธัญอมร ซึ่งถืออาวุธปืนลูกซองเป็นผู้สั่งการพูดคุยกับผู้ต้องหา



 ตนเองเข้าทำการควบคุมตัว ส.ต.ท.นันทนัช เป็นผู้สแกนหาเป้าหมายตรวจตราความปลอดภัยภายในร้านเฟอร์นิเจอร์ส่วน ส.ต.ท.เจษฎรกร และ ส.ต.ต.วรพล ทำหน้าที่ระวังหลัง Cover ให้จากด้านนอก โดยตอนเข้าควบคุมตัวผู้ต้องหาตนบอกน้องว่า “ให้ใจเย็นๆ”


หากถามว่ารู้สึกอย่างไรตอนที่ไปปฏิบัติหน้าที่ ตนเองมีความกลัวเนื่องจากคนร้ายมีอาวุธปืน แต่ด้วยหน้าที่ของการตำรวจก็ต้องเข้าไประงับเหตุ แต่สิ่งที่กลัวกว่าคือกลัวว่าภายในจุดที่คนร้ายอยู่จะมีตัวประกันและตัวประกันจะได้รับอันตราย เมื่อเข้าควบคุมตัวคนร้ายได้จึงรู้สึกโล่งที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ



รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/lfbxUhZ0yFo

คุณอาจสนใจ

Related News