อาชญากรรม

"บิ๊กโจ๊ก" ผนึกกำลังตำรวจกัมพูชา รวบ 4 คนไทยแก๊งคอลฯ ฝั่งปอยเปต

โดย taweelap_b

10 ก.ย. 2566

308 views

กรณีนายสาณิช ดอกไม้ เกิดความเครียดใช้อาวุธมีดปลิดชีพ ภรรยา และบุตร 2 คน อายุ 13 ปี และ 11 ปี เสียชีวิตรวม 3 ราย จากนั้นหวังตายตาม เหตุเกิดในเขตพื้นที่ สภ.บางแก้ว จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 66 ที่ผ่านมา ซึ่งมีสาเหตุเกิดจากความเครียด ปัญหาหนี้สินค้ำประกันการซื้อรถให้เพื่อนบ้านเป็นเงิน 8 แสนบาท จนถูกฟ้องและกรมบังคับคดีจะยึดบ้าน นอกจากนี้ภรรยายังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก สูญเงินไปกว่า 1.7 ล้านบาท


ต่อมาวันที่ 4 ก.ย. 66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อประสานขอความร่วมมือกับ พล.ต.อ.ซอ เทศ ผบ.ตร.กัมพูชา ในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่อยู่ในประเทศกัมพูชา จึงได้วางแผนร่วมกันระหว่างกำลังตำรวจของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว


ล่าสุดวันที่ 9 ก.ย. 66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ร่วมกับ พล.ต.ท.เสียง เทีย ริต รองผู้อำนวยการ กองบัญชาการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติกัมพูชา พลตำรวจจัตวา ดารา สุเภีย รองผู้อำนวยการ สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติกัมพูชา พ.ต.อ.ฮุง วี แรก ผู้บังคับการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติกัมพูชา และ พ.ต.ท.ชิ โคโบตร้า เลขาธิการผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกัมพูชา ร่วมกันติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับที่หลบหนีอยู่ในกัมพูชาได้อีก จำนวน 4 คน


1.นายสุพล วงเวียน อายุ 21 ปี ทำหน้าที่หัวหน้าคนไทย ควบคุมพนักงานคอลเซ็นเตอร์ฝั่งกัมพูชา และจัดหาบัญชีธนาคารของผู้อื่น (บัญชีม้า)


2.น.ส.นิศารัตน์ สุขเกษม อายุ 22 ปี ทำหน้าที่ พนักงานในคอลเซ็นเตอร์


3.น.ส.กนกพร ไกรสุข อายุ 19 ปี ทำหน้าที่ พนักงานในคอลเซ็นเตอร์


4.น.ส.กรกนก สิงทิศ อายุ 19 ปี ทำหน้าที่ พนักงานในคอลเซ็นเตอร์


โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” จากการจับกุมผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตรวจยึดของกลาง อาทิ โทรศัพท์มือถือ, บัตร ATM, สมุดบัญชีธนาคาร และอื่น ๆ รวมทั้งสิ้นกว่า 100 รายการ และเงินสดจำนวนกว่า 240,000 บาท


สำหรับคดีนี้ได้ออกหมายผู้ต้องหาไปแล้วทั้งสิ้น 30 หมายจับ สามารถจับกุมได้ 16 ราย แบ่งหน้าที่กันดังนี้ กลุ่มเจ้าของบัญชีม้ารับโอนเงิน จำนวน 16 ราย จับกุมได้ 9 ราย หลบหนี 7 ราย กลุ่มผู้ถอนเงิน จำนวน 4 ราย จับกุมได้ 2 ราย หลบหนี 2 ราย กลุ่มจัดหาบัญชีม้า จำนวน 2 ราย จับกุมได้ 2 ราย กลุ่มพนักงานในคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 6 ราย หลบหนี 6 ราย (อยู่ในกัมพูชา) และกลุ่มชาวจีน ผู้ควบคุมพนักงานในคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 2 ราย หลบหนี 2 ราย (อยู่ในกัมพูชา)


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กรณีคดีของ สภ.บางแก้ว ซึ่งสาเหตุเกิดมาจากหนี้สินหลายอย่าง รวมทั้งการถูกหลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งหลอกโอนเงินผ่านแอปฯ เงินกู้ หลังจากที่ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งขบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่บัญชีม้าจนถึงหัวหน้าขบวนการชาวจีนมากถึง 30 ราย จับกุมแล้ว 12 ราย และสืบทราบว่ากลุ่มเหล่านี้ตั้งออฟฟิศอยู่ที่ปอยเปต กัมพูชา จึงได้ประสานงานกับ พล.ต.อ.ซอ เทต ผบ.ตร.กัมพูชา เพื่อทลายจุดคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว โดยในวันนี้ ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชา สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้เพิ่มเติมอีก 4 ราย ซึ่งทำหน้าที่โทรหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงิน โดยจะนำตัวกลับไทยเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย หลังจากนี้จะได้ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ทางการกัมพูชา เพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอยู่ทั้งหมด เพื่อนำกลับมาดำเนินคดีที่ไทยจนถึงที่สุดต่อไป

คุณอาจสนใจ

Related News