อาชญากรรม

เปิดชนวนเหตุ ‘จ่าสิบเอก’ กราดยิงเพื่อนทหาร ตาย 2 เจ็บ 1 ญาติเผยมีอาการทางสมอง หลังผ่าตัด-ขาดยา

โดย petchpawee_k

15 ก.ย. 2565

14 views

เมื่อเวลา 08.45 น. เกิดเหตุ จ่าสิบเอก ยงยุทธ  มังกรกิม เสมียนวิทยาลัยการทัพบก อายุ 58 ปี ใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ก่อเหตุยิงเพื่อนร่วมงาน ภายในตึกวิทยาลัยการทัพบก กรมยุทธศึกษาทหารบก ถนนเทอดดำริแขวงถนนนครชัยศรี เขตดุสิต กทม.


โดยมีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 1 ราย ดังนี้

-จ่าสิบเอก นพรัตน์ อินทสุนทร ตำแหน่งเสมียน วิทยาลัยการทัพบก (ถูกยิงศีรษะ/เสียชีวิตที่เกิดเหตุ)

-จ่าสิบเอก ประการ  สินส่ง  ตำแหน่งเสมียน วิทยาลัยการทัพบก (ถูกยิงศีรษะ/นำตัวส่งโรงพยาบาลวชิระ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา)

-จ่าสิบเอก ยงยุทธ์  ปัญญานุวัฒน์ ตำแหน่งเสมียน วิทยาลัยการทัพบก (บาดเจ็บถูกยิงที่แขนซ้าย) ถูกนำส่งเข้ารับการรักษาพยาบาลทันที ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังเกิดเหตุ ผู้ที่ติดอยู่ภายในอาคารให้หลบซ่อนตัว ขณะที่จ่าสิบเอก ยงยุทธ มังกรกิม ได้หลบหนีออกไปจากหน่วยทหาร ยังถืออาวุธปืนอยู่ในที่เกิดเหตุ มีรายงานว่า จ่าสิบเอก ยงยุทธ ประกาศลั่นจะยิงให้ครบ 10 คน/โดยหลังก่อเหตุยิงเพื่อนทหาร จ่าสิบเอก ยงยุทธ ได้เดินออกจากพื้นที่ทหารอย่างใจเย็นก่อนไปหยุดยืนอยู่ข้างกำแพงก่อนที่ตำรวจจะเข้าเจรจา


ราว 10 โมง สามารถจับกุมตัวได้บริเวณด้านหน้าหน่วย คนร้ายตัดสินใจวางปืนและถอดเสื้อคลุมสีดำแถบข้างสีแดงออก เอามาพันฟืนพกสั้นไว้แล้วส่งมอบให้ตำรวจ สน.ดุสิต ที่เข้าไปเจรจา และยอมมอบตัวแต่โดยดี ซึ่งจะเห็นว่าใต้เสื้อตลุม คือ ชุดเครื่องแบบทหารแขนยาว ทั้งนี้มีการปิดการจราจรบริเวณหน้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ถนนเทอดดำริ ตั้งแต่แยกเศรษฐศิริ ถึงถนนระนอง 1


ขณะพี่สาวของ จ่าสิบเอก นพรัตน์ อินทสุนทร ได้เดินทางมาที่เกิดเหตุด้วยอาการโศกเศร้า หลังทราบข่าวการเสียชีวิตของน้องชาย พร้อมเผยว่า เมื่อคืนน้องชายยังไปนอนที่บ้านอยู่เลย ไม่ทราบสาเหตุที่เกิดขึ้นเพราะอะไร ทำไมต้องโดนน้องชายของตนด้วย และก็ไม่เคยเห็นหน้าคนก่อนเหตุมาก่อน



11.20 น. ตำรวจคุมตัว จ่าสิบเอก ยงยุทธ มังกรกิม ผู้ก่อเหตุขึ้นรถตู้ออกทางประตูด้านหลังกรมยุทธศึกษาทหารบกเลี่ยงนักข่าวที่ปักหลักทำข่าวอยู่บริเวณประตูหน้า เพื่อนำตัวมาที่ สน.ดุสิต และรีบนำตัวขึ้นห้องควบคุมผู้ต้องหา ชั้นสองของโรงพักทันที เพื่อสอบปากคถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุดังกล่าว


พลตรี บุรินทร์ ทองประไพ ผู้อำนวยการสำนักงานพระธรรมนูญทหารบก (ผอ.สธน.ทบ.) ยืนยันว่าไม่มีปัญหาในที่ทำงาน ผู้บังคับบัญชาดูเเลอย่างดี ส่วนเเรงจูงใจในการก่อเหตุ เชื่อว่า จ่าสิบเอกยงยุทธ คิดไปเอง เเละน้อยใจ เนื่องจากที่ผ่านมาผู้บังคับบัญชาไม่ค่อยให้งานทำ ร้องขออะไรก็ไม่ได้ จึงทำให้ตัวผู้ก่อเหตุคิดมากคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่าในที่ทำงาน


ขณะที่ญาติของผู้ก่อเหตุให้ข้อมูลกับผู้บังคับบัญชา ว่าเจ้าตัวมีอาการเพราะขาดยา แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาทะเลาะวิวาทกับคนในที่ทำงาน แต่มีเรื่องทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายคนในครอบครัวและเพื่อน


ด้านภรรยาของจ่าสิบเอก นพรัตน์ อินทสุนทร หรือจ่ากุ้ง ผู้เสียชีวิต บอกว่า มันแน่นและจุกอกไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น และเกิดในสถานที่ทำงาน อีก 2 ปีสามีก็จะเกษียณแล้ว โดยสามีทำงานด้านกำลังพลและงานด้านธุรการ สวัสดิการ เขารักและเป็นห่วงครอบครัวรักพี่น้องมาก


ภรรยาของจ่าสิบเอก นพรัตน์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าผู้ก่อเหตุมีปัญหาอะไรกับสามีหรือไม่ ยืนยันสามีไม่เคยมีปัญหากับใคร และไม่เคยมาเล่าปัญหาอะไรให้ฟัง ส่วนเรื่องคดีขอให้ดำเนินการให้คงความเป็นธรรมในทางที่ถูกต้อง เจ้าของสถานที่เกิดเหตุต้องเป็นคนดำเนินการ สำหรับสามีและคนก่อเหตุเป็นเพื่อนกัน ซึ่งจะเกษียณพร้อมกัน  


ลูกสาวของจ่าสิบเอก นพรัตน์ อินทสุนทร กำลังตั้งครรภ์ 5 เดือน เปิดเผยว่า ตนทำงานที่เดียวกับคุณแม่ ขณะนั้นคุณแม่ก็อยู่ที่ทำงาน หลังคุณแม่ทราบข่าวร้องไห้และอยู่ในอาการเศร้า จึงถามแม่วว่าเป็นอะไรเพราะตอนนั้นตนยังไม่ทราบว่าพ่อถูกยิง ก่อนที่เพื่อนของแม่จะเดินมาจับไหล่บอกให้ทำใจดีๆ ตอนนี้คุณพ่อเสียแล้ว รู้สึกตกใจเข่าทรุด หลังเกิดเหตุเดินทางไปดูจุดเกิดเหตุที่โต๊ะทำงานของพ่อเต็มไปด้วยคราบเลือด


ด้านพี่ชายของจ่าสิบเอก นพรัตน์ อินทสุนทร  กล่าวว่า ตนไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฟังแต่ข่าวที่และคนที่เล่าต่อ ๆ กัน มันอุกอาจพกปืนเข้าไปในที่ทำงานได้


พันตำรวจเอก กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจเเห่งชาติ กล่าวว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหากว่า 7 ชั่วโมง ตอนนี้ผู้ต้องหายังให้การวกวน เเละสับสนในข้อเท็จจริงเบื้องต้นมีการสอบปากคำไปกว่า 10 ปาก ทั้งเพื่อนร่วมงานเเละครอบครัว ซึ่งให้การเป็นไปในทิศทางเดียวกันเเละเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี


ส่วนประเด็นที่มีการตั้งข้อสงสัยว่าผู้ก่อเหตุพกพาอาวุธไปในที่ทำงานได้หรือไม่ พ.ต.อ.กฤษณะ ระบุว่าจากข้อมูลที่ได้รับในตำแหน่งของผู้ก่อเหตุนั้น ไม่มีความจำเป็นในการต้องพกพาอาวุธ จากการตรวจสอบอาวุธปืนนั่นเป็นของผู้ก่อเหตุที่มีใบอนุญาต ในประเด็นนี้ก็จะต้องมีดำเนินคดีในข้อหาการพกพาอาวุธ เหมือนเช่นประชาชนทั่วไปที่เคยดำเนินคดีก่อนหน้านี้

พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รองผบช.น. ในฐานะรองโฆษก บช.น. ระบุพนักงานสอบสวนเตรียมแจ้งข้อหาจ่าสิบเองยงยุทธ มังกรกิน เสมียนวิทยาการทัพบก ยิงเพื่อนร่วมงานเสียชีวิต 2 ศพ และบาดเจ็บ 1 นาย ในความผิดใช้อาวุธปืน ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา  ส่วนมูลเหตุอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน แต่เบื้องต้นจากการสอบสวนทราบว่านายทหารคนดังกล่าวมีประวัติการรักษาเกี่ยวกับจิตเวช

เบื้องต้นจากการสอบสวน แม้ผู้ต้องหาจะเคยเข้ารับการรักษาเกี่ยวกับจิตเวช แต่พนักงานสอบสวนจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด เพื่อให้คลายข้อสงสัย หากพบว่ามีความผิดพนักงานสอบสวนจะร่วมกับทหารพระธรรมนูญดำเนินคดีในกระบวนการของศาลทหาร

พล.ต.ต.นิติธร ยังกล่าวว่า ผู้ก่อเหตุเคยเข้ารับการรักษา แต่แพทย์คงพิจารณาแล้วว่า สามารถอยู่ในสังคมการทำงานปกติได้ เชื่อว่าต้องมีแรงจูงใจในการก่อเหตุ เห็นว่าพกปืนมาทำงานเป็นประจำ และมีพฤติกรรม “ชอบเล่นปืน” ด้วย


ซึ่งกรณีนี้เป็นอีกประเด็นที่พนักงานสอบสวนจะรวบรวมข้อมูล เนื่องจากมีข้อมูลว่าพกปืนเป็นประจำ พร้อมการพกปืนเข้าไปในที่ทำงาน ซึ่งปกติบางหน่วยงาน ตามระเบียบของหน่วยงาน ส่วนปืนที่ใช้ในการก่อเหตุเป็นปืนพกประจำกาย หลังจากนี้ต้องตรวจสอบว่ามีประเด็นใดที่จุดประกายให้คนร้ายก่อเหตุยิงเพื่อนร่วม ตำรวจจะเชิญเพื่อนร่วมงานของนายทหารและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาให้ปากคำ เพื่อคลี่คลายหาสาเหตุที่แท้จริงของการก่อเหตุครั้งนี้


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/7ugq9Tf9TjE

คุณอาจสนใจ