สหราชอาณาจักร-สหรัฐอเมริกา อ่วม! ยอดติดโควิดพุ่ง โอมิครอนแผลงฤทธิ์

สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่สหราชอาณาจักร ยังคงน่าเป็นห่วง ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันทำลายสถิติใหม่เป็นวันที่ 3 แล้ว ช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อมากถึง 93,045 คน ในจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่นี้ 3,201 คน ติดเชื้อโอมิครอน ซึ่งเป็นจำนวนที่พบมากที่สุดภายใน 1 วัน ของสหราชอาณาจักร


ยอดผู้ติดเชื้อโอมิครอน ในสหราชอาณาจักรตอนนี้ มีทั้งสิ้น 14,909 คนแล้ว และโอมิครอน กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในแคว้นสก็อตแลนด์และกรุงลอนดอน


มีรายงานว่า ขณะนี้เจ้าของผับ บาร์ หลายแห่ง ตัดสินใจปิดให้บริการเอง ก่อนถึงเทศกาลคริสต์มาส เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเลวร้ายลงทุกวัน คาดว่า จะมีลูกค้ายกเลิกยอดจองโต๊ะในเร็ว ๆ นี้ ที่สำคัญเจ้าของร้านบอกว่า วิตกกังวลต่อสุขภาพของพนักงานในร้านด้วย


นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ผู้นำอังกฤษ พยายามไม่ใช้มาตรการที่เข้มงวดมากไปกว่านี้ โดยสนับสนุนให้ประชาชนทำงานที่บ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้มากกว่า รวมไปถึงคุมเข้มเรื่องการสวมใส่หน้ากากอนามัย และการแสดงบัตรฉีดวัคซีนก่อนเข้าสถานที่สาธารณะ


ขณะที่รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่มากสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อวานนี้พบผู้ติดเชื้อมากกว่า 21,000 คน ผู้เชี่ยวชาญคาดโอมิครอน จะเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐฯ ภายในสัปดาห์นี้


ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก แถลงเมื่อวานนี้ว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ ช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มากสุดเป็นประวัติการณ์ โดยพบผู้ติดเชื้อมากถึง 21,027 คน ล่าสุดผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กต้องระดมเจ้าหน้าที่พิทักษ์ชาติกว่า 1 พันนาย มาช่วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่กำลังขาดแคลน ขณะเดียวกันได้เพิ่มจุดตรวจโควิดมากขึ้นเป็นสองเท่า


วิลเลี่ยม ลี รองประธานฝ่ายวิทยาศาตร์ของบริษัทเฮอลิกซ์ (Helix) บริษัทด้านจีโนมประชากร ที่ทำการตรวจสอบและเฝ้าระวังโควิด-19 กล่าวว่า โอมิครอนมีแนวโน้มจะเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในสหรัฐฯภายในเวลา 1 สัปดาห์นี้


รัฐนิวยอร์กมีคำสั่งให้ประชาชนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย เมื่อเข้าไปในอาคารที่เป็นพื้นที่สาธารณะ เริ่มมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และจะมีผลไปจนถึงวันที่ 15 มกราคมที่จะถึงนี้ คำสั่งดังกล่าวครอบคลุม ร้านค้าต่าง ๆ รวมไปถึงอาคารที่เป็นพื้นที่สาธารณะจะต้องปฏิบัติตาม โดยผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีนที่เข้าไปใช้บริการต้องสวมใส่หน้ากาก หากร้านค้าต่าง ๆ ไม่ปฏิบัติตาม หรือใครฝ่าฝืนคำสั่ง ก็จะถูกปรับสูงสุด 1 พันดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 33,000 บาท