กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยประท้วงหน้าสถานทูตมาเลเซีย เรียกร้อง “อันวาร์” วางตัวเป็นกลาง

บรรยากาศที่บริเวณหน้าสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซีย เมื่อเวลา 09.00 น. พบกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยเริ่มทยอยเดินทางเข้ามารวมตัวกันเพื่อประท้วงหยุดต่างชาติแทรกแซงอธิปไตยของไทย” เนื่องจากมาเลเซียและสหรัฐฯวางตัวไม่เป็นกลางแต่พยายามเข้ามาแทรกแซงการปกป้องอธิปไตยของไทย จากนั้นจะเดินทางต่อไปยังสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาในช่วงบ่าย


จุดแรกคือที่สถานทูตมาเลเซียพบกลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวกันที่บริเวณด้านหน้าสถานทูตฯ พร้อมถือป้ายไวนิลขนาดใหญ่เป็นรูปใบหน้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา - นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานอาเซียน - สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา โดยเขียนข้อความระบุว่า” A threat to Thai national security “หรือ ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติไทย พร้อมชูธงชาติไทยโบกไปมาเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์และป้ายขนาดเล็กต่างๆ ระบุว่า “หยุดแทรกแซงประเทศไทยและประธานอาเซียนต้องมีความเป็นกลาง”


ขณะที่เจ้าหน้าที่ตํารวจ บก.น.5 , สน.ทุ่งมหาเมฆ และ ตํารวจชุดควบคุมฝูงชนได้จัดกําลังพลเข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยรวมถึงการจราจรบนถนนสาทรเหนือ พร้อมวางรั้วเหล็กกั้นที่บริเวณหน้าทางเข้าสถานทูตฯ โดยจํากัดพื้นที่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมอยู่บริเวณด้านหน้าเท่านั้น


แกนนําได้สลับกันขึ้นรถปราศรัยโจมตี นายอันวาร์ อิบราฮิม ว่า ทําหน้าที่เกินขอบเขตสําหรับเพื่อนบ้านที่ดีที่มีลักษณะเข้าข้างประเทศกัมพูชาทั้งที่กัมพูชาไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชา รวมถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามเรียกร้องให้มีการเจรจาซํ้า แต่ที่ผ่านมาการกระทําของกัมพูชาทําให้ทหารไทยสูญเสียขาที่ 7


ทั้งนี้กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยได้อ่านแถลงการณ์โดยระบุว่า นับตั้งแต่มาเลเซียเข้ารับตำแหน่งประธานอาเซียน เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 นายอันวาร์ อิบราฮิม ในฐานะผู้นำอาเชียน ได้สร้างความเคลือบแคลงสงสัยแก่ประชาคมอาเชียนและสังคมโลกด้วยการแต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร และนายฮุน เซน เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ไม่มีผู้ใดเข้าใจการตัดสินใจครั้งนี้ และไม่มีใครทราบบทบาทที่แท้จริงของบุคคลทั้งสองในตำแหน่งนี้ต่อผลประโยชน์ของอาเซียน


ต่อมาเมื่อเกิดการปะทะโดยการเริ่มต้นของกัมพูชาบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2568 ภายใต้การสั่งการของ นายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ การกระทำของ นายอันวาร์ อิบราฮิม ได้เรียกประชุมเจรจาหยุดยิงอย่างเร่งรีบที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ การริเริ่มของนายอันวาร์ อิบราฮิม ครั้งนี้ ดำเนินการไปอย่างไม่รอบคอบและไม่อยู่บนพื้นฐานที่มั่นคง ส่งผลให้การปฏิบัติตามข้อเจรจาหยุดยิงล้มเหลว


การกระทำของนายอันวาร์ อิบราฮิม จงใจเปิดช่องให้นายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ประธานาธิบดีแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เข้ามาแทรกแชงกิจการภายในอาเซียน กระทบต่อความมั่นคงของภูมิภาคโดยตรง และได้ทำลายหลักการสำคัญ 2 ประการ ของสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือของอาเซียน (TAC) ซึ่งประกอบด้วย 1.การไม่แทรกแชงกิจการภายในของประเทศสมาชิก และ 2.การละเว้นจากการข่มขู่หรือการใช้กำลัง ในมิติระหว่างประเทศ การกระทำของนายอันวาร์ อิบราฮิม ยังเป็นการคุกคามแนวคิดของอาเซียน ในฐานะกลไกป้องกันความขัดแย้งและแก้ไขปัญหาอย่างสันติตลอดจนเจตนารมณ์ดั้งเดิมเรื่องความเป็นกลาง โดยประเทศไทยและกัมพูชาต่างก็เป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงของสหรัฐและจีน หากอาเซียนไม่สามารถไกล่เกลี่ยความขัดแย้งผ่านกลไกภูมิภาคของตนเองได้ การแทรกแซงจากมหาอำนาจย่อมเสี่ยงทำให้อาเซียนถูกกันออกจากกระบวนการ


นายอันวาร์ อิบราฮิม ได้อ้างหลักการแก้ไขข้อพิพาท ตามแนวทาง "วิถีอาเซียน" ซึ่งคือ การเจรจาผ่านกลไกภูมิภาค แต่ความคับแคบทางความคิดของนายอันวาร์ อิบราฮิม กลับทำให้การไกล่เกลี่ยเพื่อสันติภาพล้มเหลวอย่างประจักษ์ชัด


ประการแรก การเจรจาหยุดยิงครั้งแรกที่กัวลาล้มเปอร์ ซึ่งนำไปสู่การประกาศ "ข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์" เป็นการกระทำที่มุ่งสร้างภาพและขยายอิทธิพลทางการเมืองของ นายอันวาร์ อิบราฮิม ขณะเดียวกันก็แสดงตัวเป็นผู้รับใช้ นายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ อย่างไร้เกียรติศักดิ์ศรีในฐานะผู้นำอาเซียน ขัดต่อจุดยืนของประชาชนมาเลเซียที่ต่อต้านการรุกรานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ ภายใต้การสนับสนุนของนายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ทั้งข้อตกลงดังกล่าวขาดองค์ประกอบสำคัญหลายประการของการหยุดยิงอย่างยั่งยืน เช่น เงื่อนไขการอ้างอิงเพื่อป้องกันการใช้กำลังรุนแรง การจัดตั้งกลไกตรวจสอบ ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนของความช่วยเหลือทางการทูตเพื่อคลี่คลายเจตจำนงทางการเมืองของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหา แต่นายอันวาร์ อิบราฮิมกลับให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์มากกว่าการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ


ประการที่สอง หลังจากนั้น นายอันวาร์ อิบราฮิม ยังเชิญอำนาจภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้แนวทาง "วิถีอาเซียน" ในการบริหารจัดการข้อพิพาทภายในภูมิภาคไร้ความหมาย การกระทำและวาระของ นายอันวาร์ อิบราฮิม ที่มุ่งหวังผลประโยชน์ระยะสั้นด้านภาษีศุลกากรกับสหรัฐ ล้วนเกิดขึ้นโดยแลกกับความเป็นเจ้าของกลไกภูมิภาคของอาเชียน ผลประโยชน์ของ นายอันวาร์ อิบราฮิม คือ การสูญเสียของอาเซียนและการสูญเสียอำนาจอธิปไตยเขตแดนของไทย


การกระทำของ นายอันวาร์ อิบราฮิม จึงเป็นการชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าอาเซียนโดยตรงนอกจากนี้ นายอันวาร์ อิบราฮิม ยังเป็นอุปสรรคสำคัญในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงชายแดนใต้ของไทยมาโดยตลอด ทุกครั้งที่การเจรจากับกลุ่มก่อความไม่สงบ นายอันวาร์ อิบราฮิม จงใจส่งตัวแทนที่ไม่มีอำนาจสั่งหยุดยิงมาเจรจากับไทย ทั้งที่ทราบดีว่าใครเป็นผู้สั่งการตัวจริง และยังมีการเปลี่ยนผู้เจรจาอยู่เสมอ ทั้งเมื่อการเจรจามีความคืบหน้า นายอันวาร์ อิบราฮิม ก็จะปรับกระบวนการให้ไปเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง แสดงให้เห็นชัดเจนว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม มีส่วนสำคัญในการก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของไทย


ในฐานะประชาชนคนไทย เรายืนอย่างหน้าแน่นว่า มาเลเชื่อประเทศเพื่อนบ้านที่มีความผูกพันใกล้ชิดรวมทั้งไม่มีปัญหาใดๆ กับประชาชนชาวมาเลเซีย แต่เราต่อต้านพฤติกรรมของนายอันวาร์ อิบราฮิม ในฐานะผู้นำอาเชียน ที่ใช้เวทีอาเซียนเป็นเวทีส่วนตัว เพื่อประโยชน์ทางการเมืองภายในของตนเอง มากกว่าผลประโยชน์ของอาเซียนโดยรวม


ดังนั้น ในฐานะประชาชนคนไทย จึงขอประณามการกระทำของ นายอันวาร์ อิบราฮิม ในฐานะผู้นำอาเชียน ที่แทรกแซงกิจการภายในของไทย ส่งผลให้ไทยสูญเสียอำนาจอธิปไตยเขตแดนและเปิดช่องให้ นายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ แทรกแชงอำนาจอธิบไตยไทยและความมั่นคงของภูมิภาคอาเซียน

22 พ.ย. 2568

132 views

EP อื่นๆ