‘ทนายเดชา’ เผยเงิน 66 ล้านที่ ‘หนุ่ม กะลา’ ฟ้องยักยอกภรรยา ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในกิจการและครอบครัว

เดือด! ‘หนุ่ม กะลา’ ฟ้องยักยอกภรรยา ‘จูน เพ็ญชุลี’ โพสต์แจงค่าใช้จ่ายละเอียดยิบ ขณะ ‘ทนายเดชา’ เผยเงิน 66 ล้าน ไม่ได้นำไปใช้ในกิจการและครอบครัว เงินใช้จ่ายในครอบครัวเป็นเงินของ ‘หนุ่ม กะลา’ อีกก้อน


เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากตลอดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กับกรณีของ ‘หนุ่ม กะลา’ ที่ได้ยื่นฟ้องภรรยา ‘จูน เพ็ญชุลี’ และพนักงานบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัดทองบริบูรณ์ 365 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนที่หนุ่ม กะลา ภรรยา และน้องสาวของหนุ่ม กะลา เปิดร่วมกัน ในข้อหายักยอกทรัพย์ หลังพบว่ามีการโอนเงินของห้างหุ้นส่วน เข้าบัญชีส่วนตัวจำนวน 452 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 66 ล้านบาท


เมื่อวันศุกร์ที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา หนุ่ม กะลาก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวพร้อมด้วยทนายเดชา และได้เผยว่า มีเงินหายไปจากบัญชีตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปี 2566 รวมเวลา 9 ปี เงินหายไปกว่า 66 ล้านบาท โดยที่หนุ่ม กะลา ไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งหลังจากตรวจสอบสเตทเมนต์ก็พบว่าเงินถูกโอนไปเข้าบัญชีของภรรยาทั้งหมด เหลือเงินติดบัญชีอยู่แค่ประมาณ 2-3 แสนบาท ก็เลยรวบรวมพยานหลักฐานฟ้องศาลแขวงสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา


หนุ่ม กะลา บอกว่า จริงๆ ไม่ได้อยากให้เป็นข่าว เพราะกลัวกระทบถึงลูก แต่ช่วงหลังตนเองถูกกระแสสังคมโจมตีหนักขึ้น ทนายเดชาก็เลยแนะนำว่าคงต้องออกมาพูดสักหน่อย ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่ผันตัวมาเป็นศิลปินเดี่ยว ก็ไม่เคยมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเงินเลย เพราะเป็นสามีภรรยากัน เขามีหน้าที่ออกไปหาเงินอย่างเดียว แต่พอเห็นเงินในบัญชีที่เหลือเพียง 2-3 แสนบาท ก็เกิดคำถามว่าแล้วเงินผมไปไหนหมด ทั้งที่ตนเองเป็นคนเดียวเท่านั้นที่เซ็นเบิกเงินได้ และบอกว่าผ่านมาตนเองก็ได้เงินจากภรรยา เป็นเงินเดือน เดือนละ 40,000 บาท และมาเพิ่มเป็น 100,000 ตอนที่แยกบ้านออกไปเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน


ส่วนที่มีข่าวว่า หนุ่ม กะลา มีเงิน 8 ล้านบาท เจ้าตัวก็สาบานให้ตายว่า เกิดมาในชีวิตยังไม่เคยเห็นเงินในบัญชีตัวเองเกิน 5 ล้าน ก่อนหน้านี้ไม่เคยต้องการคำตอบว่าเงินหายไปไหน เพราะไม่ได้คิดต้องการจะไปจากเขา แต่ก็ไม่คิดว่าคนๆ นึง จะใจร้ายขนาดที่เลิกกันไปแล้ว แต่เขากลับเก็บทรัพย์สินที่ผ่อนหมดแล้วทุกอย่างไว้ แล้วทิ้งหนี้ไว้ให้มากถึง 20 ล้าน ทั้งหนี้บ้าน หนี้รถ 3 คัน หนี้คอนโด และยังต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านเดือนละประมาณ 700,000 อีก


หนุ่ม กะลา บอกว่า จุดประสงค์ในการฟ้อง ไม่ได้ต้องการเงิน 66 ล้านคืน และต่อให้มี 100 ล้านก็ไม่เอาคืน แค่ต้องการให้เขามาแจงว่าเงินไปไหน และขอให้เขาปิดหนี้ 20 ล้าน และถ้าเป็นไปได้ขอเงินติดตัว 5 ล้าน ถ้า 5 ล้านไม่ได้ไม่เป็นไร แค่ปิดหนี้ให้ แล้วก็จบกัน


ขณะที่ทนายเดชาบอกว่าโจทที่ยื่นฟ้องเป็นห้างหุ้นส่วน ไม่ใช่ หนุ่ม กะลา เป็นเรื่องของนิติบุคคล และที่ไม่สามารถฟ้องหย่าเพื่อแบ่งสินสมรสได้ เพราะมันไม่มีสินสมรส ถ้าพูดตามภาษากฎหมายคือ สินสมรสถูกจำหน่ายไปโดยคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ส่วนที่ฟ้องไม่ใช่สินสมรส แต่เป็นเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัดทองบริบูรณ์ เป็นคนละส่วนกัน เงินที่ยักยอกไปไม่ใช่สินสมรส


หนุ่ม กะลา บอกอีกว่า ตนเองรู้สึกผิด ที่ทำสิ่งไม่ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนนึงจะทำกับครอบครัว แต่ถ้าเรื่องดูแล มั่นใจว่าดูแลทั้งครอบครัวตัวเองและครอบครัวของเขาอย่างดีที่สุดตลอด 25 ปี ในการเป็นนักร้อง มันคือเงินของผมทั้งหมด มันไม่ใช่เงินของจูน จูนไม่ได้เป็นคนดูแลครอบครัว แต่ต่อให้มีเป็น 100 ล้านก็ไม่เอาคืน เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว จูนจะดูแลเงินนี้เพื่อลูกเป็นอย่างดี แค่คิดว่าเราควรจะปิดหนี้ และต่างคนต่างใช้ชีวิตและดูแลลูกก็จบ ผมรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับผม เงินที่เราสร้างมามันหายไปหมด ผมไม่ได้คาดหวังจะให้เขาชิบหาย เพราะถ้าผมมีกระแสข่าวมากเท่าไหร่ ก็จะไม่เป็นผลดีต่องานบันเทิงของผม แล้วถ้ามันไม่เป็นผลดีแล้วผมจะหาเงินที่ไหนมาเลี้ยงลูก ความตั้งใจคือ อยากคุย เคลียร์ และแค่คุยบนศาลเท่านั้น


หลังจากที่ หนุ่ม กะลา แถลงข่าวจบ ทางด้าน จูน เพ็ญชุลี ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊ก โดยโพสต์ภาพหมายศาลที่ระบุว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นโจทก์ และ จูน เพ็ญชุลี เป็นจำเลยที่ 1 พร้อมชี้แจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่างๆ แบบละเอียดยิบ ระบุว่า


“ขอใช้พื้นที่เล็กๆ ตรงนี้ชี้แจงรายละเอียดเบื้องต้นนะคะ เราเป็นคนรับเงินมาก็เอามาจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น

- ค่าใช้จ่ายในบ้าน

ค่าผ่อนบ้าน 69,800

ค่าคอนโด 15,500

เงินเดือนพ่อแม่ 52,500

เงินเดือนสามี 100,000

เงินเดือนคนขับ 15,000

ค่าผ่อนรถBenz 38,880

ค่าผ่อนรถAlphard 45,000

ค่าผ่อนBenz 23,500

Total fix cost ต่อเดือน 360,180


ค่าใช้จ่ายเรื่องงาน

ค่า Stage

ค่า Lighting

ค่าช่างภาพ

ค่า Broker

เงินเดือนผู้จัดการ

เงินเดือนคนตัดต่อ

ค่าเช่าห้องเก็บเครื่องดนตรี

ค่าน้ำมันคนขับรถตู้อีก2คัน

รวมแล้วดือนละ+-ประมาณ 300,000

ยังไม่รวมถึงค่าน้ำค่าไฟค่า ค่าเทอมลูก ค่ากินอาหาร ค่าเสื้อผ้า ค่าประกันชีวิต ค่าประกันรถ ค่าไปเที่ยวต่างประเทศ ไหนจะค่าบัตรเครดิตอีก ตามที่สามีพูดเลยค่ะว่ารายจ่ายต่อเดือนประมาณ 700,000

2 ยอดนี้บวกกัน ลองคูณต่อปีเอาก็แล้วกันนะคะว่ารายจ่ายจะเท่าไหร่ มีเอกสารหลักฐานตรวจสอบได้ทุกยอดค่ะ ขอฝากไปถามก็แล้วกันนะคะว่าจะเอาเงินมาจากไหนถ้าไม่ใช่จากบริษัทที่เปิดร่วมกันกับสามี

Statement ไม่โกหกตามที่สามีพูดเลยค่ะ statement บริษัทมี Statement ส่วนตัวก็มีค่ะ ชี้แจงได้ว่าโอนออกไปจ่ายอะไรบ้าง และในส่วนเงินเก็บก็ยังอยู่ค่ะ ไว้เราไปดูรายละเอียดกันที่ศาลนะคะ

คนเป็นเมียในฐานะคนทำบัญชี ดูแลบริษัท สั่งจ่ายไปเพื่อประโยชน์ของบริษัทและครอบครัว แบบนี้หรือ คือ ยักยอก ก็ทำแบบนี้มาตลอดนะคะเป็นเวลาหลายปี แล้วทำไมถึงมาฟ้องตอนนี้คะ จริงๆ เราก็อธิบายไปหลายรอบแล้วค่ะ แต่สามีอาจจะไม่เข้าใจ เดี๋ยวเตรียมหลักฐานเสร็จแล้วให้ศาลท่านช่วยดูก็แล้วกันนะคะว่าแบบนี้เรียกยักยอกไหม”


จากนั้นก็กลายเป็นสงครามน้ำลายกลางโซเชียล หลัง หนุ่ม กะลา เข้าไปคอมเมนต์ตอบโต้ภรรยาใต้โพสต์ดังกล่าว ระบุว่า “ปีนึงได้ 20 ล้าน ค่าใช่จ่าย500000x12เดือน = 6ล้าน ที่เหลือละจูนนนนนนนนน” และจูนก็คอมเมนต์ตอบกลับว่า “อยากดูรายได้ ไปดูงบการเงินได้ว่ามีรายได้ถึงเดือนละ 20 ล้านไหม ไปโหลดในระบบกรมพัฒน์ได้เลยค่ะ จะได้ไม่หาว่าฉันโกหก”


หนุ่ม กะลา คอมเมนต์ต่ออีกว่า “เงินของห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นเงินของนิติบุคคล ถ้ามีใครเอาเงินของห้างเข้าบัญชีส่วนตัวก็ผิดกฎหมายแล้ว มันคือการทุจริตครับคือการยักยอก ไม่ต้องไปดูเรื่องงบการเงินอะไรหรอก สเตจเมนต์มันไม่ตรงกับงบการเงินไง ถึงได้ฟ้อง เคนะ”


และจูนก็มาตอบกลับว่า “ไม่ต้องมาเถียงกันตรงนี้หรอกค่ะ ก็รอเราเอาหลักฐานมาประกบแล้วก็ตรวจเอาแล้วกันค่ะ ถ้าผิดจริงมีเจตนายักยอกจริงก็ว่ากันไปตามนั้นเลย เราก็ต้องยอมรับ”


จูนก็ยังคอมเมนต์เพิ่มอีกว่า “แล้วรายได้ต่อปีสูงสุดแค่ 17 ล้านค่ะ ไม่เคยถึง 20 ล้าน ไปโหลดดูในระบบกรมพัฒน์ได้เลย” และหนุ่ม กะลา ก็มาตอบกลับ “พบกันที่ศาล สวัสดีครับ”


ในหมายศาลได้มีคำสั่งนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 เวลา 08.30 น. ที่ศาลแขวงสมุทรปราการ


ขณะที่ ‘ทนายพัฒน์’ ก็ได้โพสต์ข้อความว่า “แม่จูนถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตั้งแต่ปี 2558-2566 รวมทั้งหมด 452 ครั้ง เท่ากับ 452 กรรม ถ้าผิดจริงติดคุกสูงสุดกรรมละ 3 ปี (452x3) รวมติดคุก 1,356 ปี”


ต่อมาเมื่อช่วงเย็นวันเสาร์ที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทนายพัฒน์ หรือ นายอนุสรณ์ อะสุระพงษ์ แถลงข่าวว่า ได้พูดคุยกับจูนเกี่ยวกับการฟ้อง ต้องมองเรื่องวัตถุประสงค์ของการใช้เงินของสามีภรรยาคู่นี้ว่าใช้เงินกันมาตั้งแต่แรกแบบไหนอาจจะเป็นในนามของห้างหุ้นส่วน แต่การใช้เงินนั้นใช้ไปวัตถุประสงค์อะไร มันไม่ได้หมายความว่าโยกจากเงินห้างหุ้นส่วน หรือนิติบุคคลหนึ่งย้ายมาที่ตัวบุคคลแล้วจะผิดทุกกรณี


หลังจากได้ตรวจรายงานคำฟ้อง ที่ทางคู่กรณีส่งมานั้น ก็มีบางส่วนที่มีอยู่แล้ว เห็นอยู่แล้วว่าเป็นการเบิกเงินสด มีการบรรยายชัดเจน ก็จะมีหลายรายชื่อชัดเจน เรื่องการโอนเงิน ทุกอย่างจะสู้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่ ในฐานะทนายความก็ต้องเสนอพยานหลักฐานให้ศาลพิจารณา เพราะไม่ทราบว่าเจตนาของคู่กรณีว่ามีเจตนาอะไร

ส่วนที่ จูนไม่ได้ออกมาแถลงข่าว หรือ ให้สัมภาษณ์ เท่าที่ทนายได้เจอและสัมผัสได้สถานะทางจิตใจค่อนข้างไม่ค่อยโอเค  มีภาวะเครียด ทางจูนก็บอกว่าควรที่จะมาพูดคุยกันดีๆ หรือหาช่องทางเจรจาหรืออาจจะมีผู้ใหญ่มาร่วมพูดคุย เพื่อหาทางออก ไม่อยากให้มีการฟ้องที่เป็นแบบนี้ เพราะเป็นคดีอาญาถ้าพลาดมาก็มีโอกาสติดคุก เลยรู้สึกเสียใจและเสียความรู้สึก ยอมรับว่าไม่รู้ว่าจะมีหมายมาที่บ้าน


จากนั้นเมื่อวานนี้ (9 มิ.ย.) ทนายเดชาก็ได้โพสต์แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงิน 66 ล้าน ในเพจทนายคลายทุกข์ ว่า “ชี้แจงข้อเท็จจริง เงิน 66 ล้านที่ฟ้องยักยอก หนุ่มกะลา ได้ตรวจสอบข้อมูลทางบัญชีของห้างแล้ว เงินจำนวน 66 ล้าน ที่เข้าบัญชีคนใกล้ตัว ไม่ได้นำไปใช้ในกิจการของห้างและครอบครัวแต่อย่างใด เงินที่ใช้จ่ายในครอบครัวประจำเดือนหลายแสนบาทนั้น เป็นเงินของหนุ่มกะลาอีกก้อนหนึ่ง ไม่ได้เกี่ยวกับเงินจำนวน 66 ล้านบาท ตามที่มีการฟ้องร้องกันที่ศาลแขวงสมุทรปราการ จึงเรียนมายังพี่น้องสื่อมวลชนเพื่อทราบ”


นอกจากนี้ ทนายเดชา ยังได้เขียนคอมเมนต์ใต้โพสต์ดังกล่าวอีกว่า “พยานหลักฐานทั้งหมดจะพิสูจน์กันในชั้นศาลหนุ่มกะลาบอกทนายเดชา ว่าถ้าหลักฐานไม่ชัดไม่กล้าฟ้องหรอกครับ ความจริงจะอยู่ในศาลเท่านั้นครับจะไม่อยู่บนโซเชียล”


และทนายเดชายังได้เฟซบุ๊กไลฟ์บอกอีกว่า ได้รับคำยืนยันจาก หนุ่ม กะลา ว่าเงิน 66 ล้าน ที่หนุ่ม กะลา ฟ้องคนใกล้ตัว 2 คน เป็นผู้หญิงที่ศาลแขวงจังหวัดสมุทรปราการ โดยหนุ่ม กะลา ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีตรวจสอบสเตทเมนต์และเอกสารทั้งหมดแล้ว  ซึ่งตามที่คู่กรณีอ้างว่าเงินจำนวนดังกล่าวได้นำไปใช้ในครอบครัวเดือนละประมาณ 7 แสนบาทนั้นไม่เป็นความจริง จากการตรวจสอบเงินที่ใช้ในครอบครัวเดือนละประมาณ 6 แสนบาท เป็นเงินคนละก้อนกัน ดังนั้นเงิน 66 ล้าน ที่หายไปจากบัญชีของห้างฯ ตั้งแต่ 9 ปี ที่แล้วจนถึงปัจจุบัน ไม่ได้ใช้เพื่อประโยชน์กิจการของห้างฯ และไม่ได้ใช้เพื่อครอบครัวแต่อย่างใด


ทนายเดชา ยังกล่าวอีกว่า ลูกความของตนเป็นคนที่มีฐานะทางการเงินดีและมีชื่อเสียงไม่มีเหตุผลใดต้องโกหก ทั้งนี้ได้รวบรวมหลักฐานสัปดาห์หน้าเตรียมฟ้องเพจบางเพจรับจ้างจากคู่กรณี โพสต์ด่า หนุ่ม กะลา ใช้โซเชียลเล่นงานหนุ่ม กะลา ยืนยันจะแฉและดำเนินคดีมีหลักฐานการโอนเงินต่างๆ ชัดเจน ลั่นความจริงบนโลกโซเชียลไม่มี ความจริงอยู่ในศาล ตอนนี้ร่างฟ้องเสร็จแล้ว

โดย paweena_c

10 มิ.ย. 2567

174 views

EP อื่นๆ