อาชญากรรม

ศาลตัดสินประหาร 'อดีต ผกก.โจ้' คดีถุงดำ ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต

โดย paweena_c

8 มิ.ย. 2565

124 views

ศาลตัดสินประหาร 'อดีต ผกก.โจ้ และพวก' ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต คดีร่วมกันใช้ถุงคลุมหัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนเสียชีวิต

วันนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาคดีที่อดีตผู้กำกับโจ้ อดีตผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์ พร้อมพวกรวม 7 คน ร่วมกันใช้ถุงคลุมหัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนเสียชีวิต เมื่อเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ล่าสุดศาลมีคำพิพากษาประหารชีวิตอดีตผู้กำกับโจ้และลูกน้อง 5 คน ส่วนอีก 1 คน จำคุก 8 ปี แต่ช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้ตาย ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุกตลอดชีวิต และอีก 1 คน จำคุก 5 ปี 4 เดือน ขณะที่พ่อผู้เสียชีวิตน้อมรับและขอจบคดีเท่านี้

เรือตรี จักรกฤษณ์ กลั่นดี พ่อของผู้เสียชีวิต เดินทางมาฟังคำพิพากษาที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ด้วยสีหน้าที่เศร้า พร้อมเปิดเผยว่า เขาต่อสู้เพื่อลูกชายมานานถึง 10 เดือน วันนี้พร้อมน้อมรับคำพิพากษาของศาลทุกประการ ส่วนที่จำเลยปฏิเสธเรื่องเจตนาฆ่า ส่วนตัวรับไม่ได้เพราะเขาใช้ถุงดำถึง 5 ชั้น คลุมศีรษะลูกชายจนเสียชีวิต

ซึ่งในการสืบพยานที่ผ่านมา มั่นใจในหลักฐานที่เป็นคลิปวิดีโอที่เกิดขึ้นภายในห้อง ซึ่งทุกคนเคยได้เห็นกันแล้ว จึงอยากฝากถึงเจ้าหน้าที่รัฐว่า การทำหน้าที่ต้องมีจิตสำนึกความเป็นมนุษย์ด้วย และวันนี้ไม่ว่าศาลจะมีคำพิพากษาอย่างไร ก็จะขอหยุดแค่นี้ ส่วนเงินที่เรียกร้องไป 1 ล้าน 5 แสนบาท ยังไม่ได้เจรจากับจำเลย เพราะที่ผ่านมาเป็นการสืบพยานผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนท์มาตลอด

ศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษานานกว่า 2 ชั่วโมง พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลย 1-5 และ 7 ผิดความผิดตามฟ้องทั้ง 4 ข้อหา พิพากษาประหารชีวิต ส่วนจำเลยที่ 6 คือ ดาบตำรวจ ศุภากร นิ่มชื่น จำคุก 8 ปี แต่ทั้ง 7 คนช่วยเหลือผู้ตายโดยการนำส่งโรงพยาบาล และช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้ตายคนละ 3 แสนบาท เป็นให้บรรเทาโทษลดโทษลง 1 ใน 3 เท่ากับจำเลยที่ 1-5 และ 7 เหลือโทษจำคุกตลอดชีวิต ส่วน ดาบตำรวจ ศุภากร จำเลยที่ 6 คงโทษจำคุก 5 ปี 4 เดือน

คดีนี้ต้องย้อนกลับไปวันที่ 5 สิงหาคม 2564 ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษยาเสพติดจับ นายจิระพงษ์ หรือมาวิน พร้อมภรรยา ในคดียาเสพติด แล้วนำตัวมาสอบปากคำที่ห้องปฏิบัติการพิเศษ โดยจับนายมาวิน ล็อคแขน แล้วใช้ถุงดำคลุมหัวจนเสียชีวิต

วันที่ 6 สิงหาคม แพทย์โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ชันสูตรว่า เสียชีวิตจากสารแอมเฟตามีน หรือยาเสพติด

เวลาผ่านมากว่า 2 สัปดาห์ มีตำรวจชั้นผู้น้อยเข้าร้องเรียนกับทนาย เดชา กิตติวิทยานันท์ แต่ยังไม่มีการเปิดคลิป มีเพียงข้อมูลเรื่องการทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาเพื่อรีดเงิน และตอนนั้นพันตำรวจเอก ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ ปฏิเสธ บอกว่าโดนกลั่นแกล้ง

กระทั่ง 24 สิงหาคม ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เปิดคลิปวินาทีสังหาร พร้อมลงรายละเอียดว่า การทำร้ายครั้งนี้เพื่อต้องการรีดเงิน 2 ล้านบาทจากผู้ต้องหา และวันนั้นผู้กำกับโจ้ก็หายตัวไป ซึ่งกล้องวงจรปิดจับภาพว่าขับรถหลบหนีไปทางจังหวัดชลบุรี และคืนนั้นชุดปฏิบัติการยาเสพติดที่ร่วมลงมือถูกจับทันที 4 นาย คือ พันตำรวจตรี รวิโรจน์ ดิษทอง ร้อยตำรวจเอก ทรงยศ คล้ายนาค ดาบตำรวจ ศุภากร นิ่มชื่น และ สิบตำรวจตรี ปวีกรณ์ คำมาเร็ว

วันที่ 25 สิงหาคม ตำรวจเปิดปฏิบัติการบุกค้นบ้านอดีตผู้กำกับโจ้ ย่านบางชัน ซึ่งมีมูลค่ากว่า 57 ล้านบาท ยึดรถหรู 24 คัน และยึดทรัพย์คดีอื่นๆ อีก มูลค่ากว่า 131 ล้านบาท ทันที

วันที่ 26 สิงหาคม พลตำรวจตรี เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ได้รับการติดต่อจากอดีตผู้กำกับโจ้ ว่าจะขอมอบตัว และให้ไปรับตัวที่ สภ.แสนสุข จังหวัดชลบุรี ก่อนจะนำตัวเข้ามาที่กองปราบปราม ซึ่งในวันนั้นอดีตแถลงต่อหน้าสื่อว่า เขาไม่ได้ตั้งใจฆ่า และทำไปเพื่อต้องการข้อมูลเรื่องยาเสพติดไม่ใช่การรีดเงิน และขอรับผิดคนเดียว เนื่องจากเขาเป็นคนสั่งลูกน้อง และในวันนั้นร้อยตำรวจโท ธรณินทร์ มาศวรรณา และ ดาบตำรวจ วิสุทธิ์ บุญเขียว ที่หลบหนีก็ถูกตามจับได้เช่นกัน

คดีนี้ตำรวจสรุปสำนวนส่งฟ้องอัยการวันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 ใน 4 ข้อหา คือ

1.เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ

2.ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่ง หรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่ง หรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

3.ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย

4.ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น

ซึ่งมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต

คุณอาจสนใจ