สังคม
'อัจฉริยะ' เปิดไทม์ไลน์ 'พล.ต.ต.-ลูก' ปลอมเอกสารขายรถ 'อดีตผกก.โจ้' 13 คัน เสียหาย 25 ล้านบาท
โดย paweena_c
6 เม.ย. 2566
167 views
นายอัจฉริยะ เปิดไทม์ไลน์ รองเลขาธิการฯ ปปง. และลูกชาย ร่วมกับพวก ปลอมแปลงเอกสาร และเอารถยนต์ของอดีตผู้กำกับโจ้ 13 คัน ไปขาย เสียหายกว่า 25 ล้านบาท ระหว่างอที่ดีตผู้กำกับโจ้อยู่ในเรือนจำ
เมื่อวานนี้ (5เม.ย.) นาย อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำเอกสารหลักฐานการซื้อขายรถยนต์ หลักฐานแชทไลน์ระหว่างทนายความกับน้องสาวของพันตำรวจเอก ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ โจ้ อดีตผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์ มาแจ้งความที่กองปราบปราม หลังได้รับมอบอำนาจจากอดีตผู้กำกับโจ้ ให้มาดำเนินคดีกับ พลตำรวจตรี เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. และร้อยตำรวจเอก ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ ลูกชาย ร่วมกับทนายความ บริษัทสินเชื่อรถยนต์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ขนส่งที่เกี่ยวข้องในความผิด 4 ข้อหา คือ ร่วมกันลักทรัพย์ ร่วมกันรับของโจร ปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการอันเป็นเท็จ
นาย อัจฉริยะ เล่าว่า อดีตผู้กำกับโจ้ให้ข้อมูลว่าวันที่เขาตัดสินใจเข้ามอบตัวกับ พลตำรวจตรี เอกรักษ์ ที่จังหวัดชลบุรี ทาง พลตำรวจตรี เอกรักษ์ รับปากว่า จะจัดการทุกอย่างให้ รวมถึงหาทนายความ แต่กลายเป็นว่าพลตำรวจตรี เอกรักษ์ ลูกชาย และทนายความ ร่วมกันปลอมเอกสารเพื่อนำรถของอดีตผู้กำกับโจ้ไปขายถึง 13 คัน เช่น Toyota Camry, BMW, Porsche, Volkswagen, Ford ซึ่งแต่ละคันจะมีป้ายทะเบียนเลขสวยราคาแพงติดไปด้วย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 25 ล้านบาท โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ยินยอม
นาย อัจฉริยะ เปิดเผยว่า รถทั้งหมดของอดีตผู้กำกับโจ้มีทั้งหมด 46 คัน ตำรวจกองปราบปรามปูพรมค้นวันที่ 25 สิงหาคม และยึดได้แค่ 29 คัน ส่วนอีก 17 คัน เชื่อว่าพลตำรวจตรี เอกลักษณ์ น่าจะโยกย้ายไปเก็บไว้ที่อื่นก่อน
วันที่ 26 สิงหาคม 2564 อดีตผู้กำกับโจ้เข้ามอบตัวกับพลตำรวจตรี เอกรักษ์ ที่จังหวัดชลบุรี
1 กันยายน 2564 นำตัวอดีตผู้กำกับโจ้และลูกน้องรวม 7 คน เข้าเรือนจำกลางจังหวัดพิษณุโลก
3 กันยายน 2564 ย้ายอดีตผู้กำกับโจ้และลูกน้องรวม 7 คน ไปคุมตัวที่เรือนจำกลางคลองเปรม กรุงเทพฯ
9 กันยายน 2564 ว่าจ้างทนายความชื่อว่า "ณัฐ" ให้เป็นทนายความส่วนตัวของอดีตผู้กำกับโจ้
16 กันยายน 2564 อดีตผู้กำกับโจ้ได้มอบอำนาจให้น้องสาว เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ มีอำนาจทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ และรับเงินค่าซื้อขายรถยนต์แทน โดยมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เซ็นรับรองเอกสาร
22 กันยายน 2564 ทนาย "ณัฐ" ได้แชทมาหาน้องสาวของอดีตผู้กำกับโจ้ ให้ถ่ายสำเนาบัตรประชาชน ระบุว่าใช้ซื้อขายโอนรถยนต์ของอดีตผู้กำกับโจ้ พร้อมให้เซ็นใบซื้อขายรถยนต์ ที่เป็นเอกสารเปล่ายังไม่ได้กรอกรายละเอียด 10 ชุด ช่วงนั้นโควิดระบาดจึงไม่ได้เยี่ยมพี่ชาย ทำให้ไม่ทราบว่า พี่ชายไม่ได้อยากขายรถ
2 มิถุนายน 2565 น้องสาวอดีตผู้กำกับโจ้ เข้าพบพี่ชายจึงทราบว่า พี่ชายไม่ได้ให้ขายรถ จึงไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.ตลิ่งชัน ว่า ถูกทนายณัฐ ให้เซ็นต์เอกสารซื้อขายรถยนต์ซึ่งเป็นเอกสารเปล่า 10 ชุด
จากนั้น น้องสาวอดีตผู้กำกับโจ้ทักไปคุยกับทนายขอเอกสารทั้งหมดคือ แต่ทนายตอบกลับมาว่าใช้โอนรถไปหมดแล้ว มี ฟอร์ด 3 คัน โฟล์คตู้ 3 คัน พาพาเมร่า 1 คัน BMW ซีรีย์เจ็ด 1 คัน ทัวร์เลค 1 คัน และแคมรี่ 1 คัน
กระทั่งพ้นช่วงโควิด สามารถติดต่ออดีตผู้กำกับโจ้ได้ ถึงรู้ว่า โดนหลอก เพราะอดีตผู้กำกับโจ้ไม่ได้มีเจตนาที่จะขายรถยนต์ น้องสาวอดีตผู้กำกับโจ้ จึงทวงถามขอเอกสารที่เซ็นต์ไปคืน นายณัฐ บอกว่า เอกสารทั้งหมดได้ส่งให้ ร้อยตำรวจเอก ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ รอง สว.สอบสวน สน.ทองหล่อ หรือ เบิร์ด ลูกชายของพลตำรวจตรี เอกรักษ์ ไปแล้ว ซึ่งผู้กองเบิร์ด พิมพ์รายละเอียดชี้แจงว่า ขายรถอะไรไปบ้างแล้ว มีรถอะไรบ้างที่เอาไปโอนขายแล้ว
นายอัจฉริยะ ยังบอกด้วยบอกว่า เอกสารที่โอนขายรถยนต์ และเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนชื่อผู้ครอบครองรถของอดีตผู้กำกับโจ้ ที่เป็นชื่อของลูกชายพลตำรวจตรี เอกรักษ์ ทั้งหมดเป็นเอกสารที่มีการปลอมแปลงขึ้นมา เพราะลายเซ็นต์ไม่เหมือนกัน ไม่มีลายเศ็นต์ของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รับรอง จึงเชื่อได้ว่า ขบวนการนี้มีบริษัทสินเชื่อรถยนต์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ขนส่งร่วมมือด้วย
นายอัจฉริยะ ยังเปิดเผยรูปภาพจากเฟซบุ๊กของลูกชายพลตำรวจตรีเอกรักษ์ ที่โพสต์รูปขายรถ ที่เป็นรถของอดีตผู้กำกับโจ้ โดยมีการนำป้ายทะเบียนอื่นมาสวม และยังมีรูปรถเบนซ์ของพลตำรวจตรีเอกรักษ์ ที่นำป้ายทะเบียนของรถอดีตผู้กำกับโจ้ไปสวมด้วย