อาชญากรรม

ตำรวจขอโทษ ปมภาพบาดแผลคดีแตงโมเป็นคนละเคส ชี้แค่อยากให้เห็นภาพ ยันไม่มีผลต่อคดี

โดย thichaphat_d

29 เม.ย. 2565

25 views

ตำรวจขออภัยประชาชน ที่นำภาพบาดแผลที่เกิดกับหญิงสาวชาวอังกฤษ มาประกอบสรุปสำนวนคดีการเสียชีวิตแตงโม นิดา ชี้เจตนาเพียงต้องการให้คนเห็นภาพความโค้งเว้าของบาดแผล ยืนยันไม่ส่งผลต่อสาระสำคัญทางคดี

เมื่อวานนี้ พลตำรวจโทจิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมคณะ ร่วมชี้แจงถึงกรณีภาพบาดแผลที่ขา ที่นำเสนอภาพประกอบในวีดีโอพรีเซนเทชั่นในวันแถลงข่าว โดยระบุว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากใบพัดเรือ

ก่อนที่จะมีคนนำไปเปรียบเทียบว่า ภาพดังกล่าว มีการนำเสนอในสำนักข่าวต่างประเทศ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวชาวอังกฤษ เมื่อปี 2019 และยังไม่มีการระบุสาเหตุว่าบาดแผลดังกล่าว เกิดขึ้นจากอะไร จนทำให้เรื่องดังกล่าวกลายเป็นประเด็นร้อนแรง

ซึ่งในประเด็นนี้ พันตำรวจเอก วรชาติ เเสนคำ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ชี้เเจงว่า ภาพที่เกิดปัญหานั้น เป็นการหยิบยกมา เพื่ออธิบายลักษณะของบาดแผล แทนการใช้ภาพบาดแผลจากศพ ที่ไม่สามารถนำเสนอได้ เพราะเป็นข้อจำกัดทางกฎหมาย เพื่อให้คนเห็นบาดเเผลหลังจากการเย็บว่า จะมีลักษณะโค้งเว้าเป็นตัว S แบบในภาพ

พร้อมกับนำคลิปที่สื่อมวลชนสำนักหนึ่ง สัมภาษณ์ชายที่ถูกใบพัดเรือ มานำเสนอให้สื่อได้ดู พร้อมระบุว่า ปัจจุบันโลกพัฒนาไปมาก ภาพบาดแผล ที่เกิดจากใบพัดเรือ สามารถค้นหาได้จาก GOOGLE ใช้ KEY WORD ว่า "BOAT PROPELLER WOUND" ซึ่งจะปรากฏภาพบาดแผลจากใบพัดเรือ

เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถปิดบัง บิดเบือนข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานต่าง ๆ ได้ และทราบดีว่า ปัจจุบันในโลกโซเชียล มีการตรวจสอบการทำงานของตำรวจอย่างเข้มข้น จึงต้องขออภัยที่การบรรยายภาพ สื่อสารให้ผู้รับชมเกิดความกำกวม สงสัย แต่เจตนาจริง ต้องการนำเสนอลักษณะบาดแผลที่โค้งเป็นตัวเอส พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้มีผลทำให้สาระสำคัญของคดีนี้เปลี่ยนไป

ผู้สื่อข่าวจึงสอบถามว่า ภาพดังกล่าวเป็นข้อมูลจากต่างประเทศ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับใบพัดเรือ กังวลใจหรือไม่ ว่าจะถูกดำเนินคดีในเรื่องการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ตอบในเรื่องนี้สั้น ๆ ว่า ขออภัยในความผิดพลาด พร้อมย้ำว่า จุดประสงค์ในการนำเสนอเพื่อสื่อถึงลักษณะของบาดเเผล ไม่มีเจตนาอื่น ขออภัยในความไม่รอบคอบ โดยยืนยันว่า ในวันที่ค้นหาภาพเกี่ยวกับบาดแผลที่ถูกใบพัด ซึ่งภาพดังกล่าวอยู่ในกลุ่มชุดเดียวกัน ซึ่งต้องขออภัย

ทางด้าน พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ก็ได้สั่งให้ทีมงานเปิดภาพลักษณะบาดเเผลที่โดนใบพัดเรือ ทั้งคนเเละสัตว์ พร้อมนำข้อมูลวิจัยบาดเเผลที่เกิดจากใบพัดเรือในต่างประเทศ มานำเสนอให้ความรู้กับสื่อมวลชน โดยมีลักษณะบาดเเผล 3 ระดับ

จากนั้น สื่อมวลชนถามย้ำว่า การนำข้อมูลที่ผิดพลาดมานำเสนอ ถือว่าตำรวจไม่รอบคอบ จะส่งผลกระทบต่อรูปคดีเเละภาพลักษณ์ของตำรวจหรือไม่ พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ยืนยันว่า ไม่กระทบทั้งภาพลักษณ์เเละรูปคดี ก็ไม่ได้เปลี่ยนเเปลงไป

ก่อนที่สื่อมวลชนจะถามอีกครั้งว่า ในกรณีนี้จะเป็นบทเรียนให้ตำรวจระมัดระวังเเละรอบคอบในการทำวีดีทัศน์มากขึ้นหรือไม่ พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ก็พูดตัดบท พร้อมบอกให้เปิดคลิปข่าวของสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ที่นำเสนอไปช่วงเเรก กลับมาอีกครั้ง ก่อนปิดการเเถลงเเละลุกจากโต๊ะทันที

ระหว่างนั้น ผู้สื่อข่าวพยายามตะโกนถามต่อว่ากังวลจะถูกดำเนินคดีหรือไม่ ทางผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้หันมามองผู้สื่อข่าวด้วยท่าทางคล้ายไม่พอใจ เเละไม่ตอบคำถาม ก่อนจะเดินทางจากไปทั้งคณะ โดยที่ไม่หันมามองผู้สื่อข่าวที่พยายามวิ่งตาม

ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เตรียมร้อง ป.ป.ช.ภายในอาทิตย์หน้า เพื่อเอาผิด ตำรวจ หลังแถลงสรุปสำนวนคดีแตงโมที่ตำรวจภูธรภาค 1 เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา โดยนายศรีสุวรรณ ได้ถอดเทปช่วงประมาณนาทีที่ 24 เป็นการนำข้อมูลเรื่องบาดแผลในต่างประเทศมาอ้างอิงว่า เกิดจากใบพัดเรือเช่นเดียวกับกรณีบาดแผลของแตงโม

โดยการร้องครั้ง นี้ ป.ป.ช.จะเอาผิดกับตำรวจชุดที่ทำวีดีโอรวมถึงตำรวจที่นั่งแถลงในวันนั้นด้วย ในความผิดตามมาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

โดยในคลิปวีดีโอตำรวจระบุชัดเจนว่า มีข้อมูลอ้างอิงจากต่างประเทศ มีผู้เคราะห์ร้ายจากใบพัดเรือ ชนิดเดียวกันปั่นขา ก็จะพบว่าบาดแผล หลังจากเย็บนั้นมี ลักษณะเว้าโค้งเช่นเดียวกับ บาดแผลของแตงโม จึงเชื่อได้ว่าบาดแผลเกิดจากใบพัดเรือปั่นในลักษณะนี้

ต่อมาหลังสังคมและโซเชียลช่วยกันสืบหาความจริงและจับโป๊ะได้ว่า ภาพบาดแผลจากต่างประเทศที่ตำรวจนำมาแถลงไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือ ตำรวจก็ออกมาแถลงขอโทษว่าไม่ได้อ้างอิงถึงแหล่งที่มาทำให้การนำเสนอไม่ถูกต้อง ครบถ้วน และการนำภาพดังกล่าวมานำเสนอนั้นไม่ได้ทำให้สาระสำคัญของคดีเปลี่ยนแปลงไป

ซึ่งนายศรีสุวรรณมองว่ายิ่งเป็นช่องว่าง ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาสามารถนำไปร้องต่อศาลได้ว่า พยานหลักฐานต่าง ๆ ที่ตำรวจรวบรวมมาในสำนวนไม่มีความน่าเชื่อถือและอาจเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องได้

คุณอาจสนใจ