สังคม

ศาลปกครองกลาง เบรกประกาศ สธ. ไม่คุ้มครองฉีดวัคซีนทางเลือก จาก รพ.เอกชน ชี้ ไม่เป็นธรรม!

โดย passamon_a

18 ธ.ค. 2564

449 views

วานนี้ (17 ธ.ค.) ศาลปกครองกลางมีคำสั่งทุเลาการบังคับประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องกำหนดผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมาย ว่าด้วยโรคติดต่อกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด-19 ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 23 ก.ค.64 ข้อ 3 เฉพาะในส่วนที่ไม่คุ้มครองบุคคลที่ได้รับการป้องกันโรคโควิด-19 จากการฉีดวัคซีนทางเลือกที่ให้บริการโดยสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลที่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้รับการฉีดวัคซีนเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ทั้งนี้คำสั่งดังกล่าวสืบเนื่องจากนายรัชพล ปั้นทองพันธุ์ นักกฎหมายอิสระ ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้บริโภคที่มีสิทธิ์ได้รับการบริการสาธารณสุขการป้องกันและการขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ยื่นฟ้องกระทรวงสาธารณสุข ขอให้ศาลฯมีคำสั่งเพิกถอนประกาศฉบับดังกล่าว

เฉพาะในส่วนข้อ 3 ที่กำหนดว่า ”ทั้งนี้ไม่รวมถึงวัคซีนทางเลือกที่ให้บริการโดยสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล ซึ่งเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้รับการฉีดวัคซีนเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉินจากสถานพยาบาล”

เนื่องจากเห็นว่าประกาศดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลด้วยเหตุฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ประชาชนจำนวนมากที่ไม่มีความพร้อมทางสถานะเศรษฐกิจและสังคมไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนทางเลือกที่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายส่งผลให้รัฐไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ โดยนายรัชพลได้ลงทะเบียนซื้อวัคซีนโมเดอร์น่า ให้แก่ตนเองและครอบครัวจากโรงพยาบาลเอกชนเป็นเงินจำนวน 13,200 บาท และเห็นว่าคดีนี้เป็นประโยชน์กับส่วนรวมจึงได้นำคดีมาฟ้องต่อศาล

ส่วนที่ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระบุเหตุผลว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศไทย และทั่วโลก กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดมาตรการในการป้องกันและขจัดโรคดังกล่าว โดยการฉีดวัคซีนโควิด-19 อันเป็นวัคซีนที่คิดค้นและผลิตขึ้นในเบื้องต้น ซึ่งหากบุคคลผู้รับการฉีดวัคซีนเกิดอาการแพ้วัคซีนหรืออาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการฉีดวัคซีนดังกล่าว บุคคลนั้นย่อมมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉินจากสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล เมื่อวัคซีนโควิด-19 ที่นำมาฉีดให้กับบุคคลกลุ่มเป้าหมายตามแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรมการป้องกันและขจัดโรคโควิด-19 จากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย กับวัคซีนทางเลือกที่ให้บริการโดยสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล ซึ่งเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้รับการฉีดวัคซีนต่างก็เป็นวัคซีนที่ได้ผ่านการรับรองการขึ้นทะเบียนตำรับยาของวัคซีนนั้นจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และหากบุคคลที่รับการฉีดวัคซีนทางเลือกเกิดอาการแพ้วัคซีนหรืออาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ย่อมมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉินจากสถานพยาบาล ตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลเช่นกัน

การที่กระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศดังกล่าวโดยไม่ได้กำหนดให้ครอบคลุมถึงบุคคลที่ได้รับการป้องกัน โควิด-19 จากการฉีดวัคซีนทางเลือกที่ให้บริการโดยสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลที่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้รับการฉีดวัคซีนเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินด้วย ทำให้ผู้ได้รับการป้องกันโรค โควิด-19 จากการฉีดวัคซีนทางเลือกจะไม่ได้เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยฉุกเฉินจากสถานพยาบาลตามกฎหมาย ว่าด้วยสถานพยาบาลเหมือนบุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จึงอาจถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อสภาพทางกายหรือสุขภาพของบุคคลที่มีสิทธิ์ได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐตามมาตรา 27 วรรคสามประกอบมาตรา 47 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญ

ดังนั้นประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าวในส่วนของข้อ 3 เฉพาะในส่วนที่ไม่คุ้มครองถึงบุคคลที่ได้รับการป้องกันโรคโควิด-19จากการฉีดวัคซีนทางเลือกที่ให้บริการโดยสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลที่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้รับการฉีดวัคซีนเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินจึงน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากมีผลใช้บังคับต่อไปในระหว่างการพิจารณาคดีจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงจนยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังหากบุคคลผู้รับการฉีดวัคซีนทางเลือกมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉินจากสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลพยาบาลจะไม่สามารถเข้ารับการรักษาในฐานะที่เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินตามกฎหมายดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที ซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงชีวิตร่างกายของบุคคลที่ได้รับวัคซีนทางเลือกนั้น

อีกทั้งการมีคำสั่งทุเลาของศาลเฉพาะในส่วนที่ไม่คุ้มครองถึงบุคคลที่ได้รับการป้องกันโรคโควิด-19 จากการฉีดวัคซีนทางเลือกที่ให้บริการโดยสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลที่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้รับการฉีดวัคซีนเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินย่อมไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานของรัฐหรือบริการสาธารณะ เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขยังคงมีหน้าที่ในการจัดการด้านการสาธารณสุขให้แก่ประชาชนทุกคนโดยดำเนินการตามมาตรการของรัฐในการป้องกันและขจัดโรคโควิด -19 และกำหนดผู้ป่วยฉุกเฉินตามประกาศฉบับพิพาทต่อไปได้จึงเข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าว


รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/4kaQIoeMdAc

คุณอาจสนใจ

Related News