สังคม

พ่อแจงดราม่า ขอรับเงินบริจาคช่วยลูกชายวัย 11 เดือน ถูกน้ำมันลวก ลั่น "ไม่คิดเอาชีวิตลูกมาหากิน"

โดย weerawit_c

3 เม.ย. 2564

12.8K views

จากกรณีพ่อของเด็กคนหนึ่ง โพสต์ขอช่วยเหลือว่า ‘น้องเจ้านาย’ ลูกชายวัย 11 เดือน ถูกน้ำมันลวกรักษาอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ค่าใช้จ่ายสูงมากเลยต้องเปิดธนาคารชื่อของภรรยาขอรับบริจาคเอาเงินมารักษาเด็ก จากนั้นไม่นานมีคนแชร์โพสต์ดังกล่าว ช่วยบริจาคเงินให้กับครอบครัวนี้ยอดพุ่งเกือบ 2 ล้านบาท


ต่อมาทางผู้โพสต์ได้ขอปิดรับการบริจาค พร้อมกับโพสต์ภาพใบเสร็จของค่ารักษาพยาบาลลูกที่ถูกน้ำมันลวกอยู่ที่เพียงประมาณ 2 แสนบาท ขณะเดียวกันถูกชาวเน็ตพากันจับโป๊ะขุดโปร์ไฟล์ และโพสต์ในอดีตของพ่อรายนี้พบว่าค่อนข้างมีฐานะ มีบ้านหลังใหญ่โต มีรถจักรยานยนต์ รถยนต์อีกหลายคัน ทำไมถึงเปิดรับบริจาค ทำให้ผู้ใจบุญที่บริจาคเงินไปช่วยเหลือ ต่างเข้าไปโพสต์ทวงถามถึงเงินบริจาคที่เหลือว่าถูกนำไปใช้อย่างไร บางรายขอให้โอนเงินที่บริจาคไปกลับคืนมา และขู่ว่าจะมีการดำเนินคดีด้วย จากนั้นเจ้าตัวได้ตั้งค่าโพสต์ปิดสาธารณะ เนื่องจากไม่ต้องการให้แชร์โพสต์อีกและปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น ไม่อยากรับรู้อะไรเพราะบางคนเข้ามาต่อว่าด่าทอ


นายทศพล ผ่านคำ อายุ 37 ปี พ่อเด็กและเป็นผู้โพสต์ขอรับบริจาค เล่าว่า เหตุการณ์ลูกชายถูกน้ำมันลวกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยลูกชายเดินไปหาแม่ในห้องครัว ซึ่งภรรยาของตนเพิ่งทอดปลาเสร็จ จากนั้นลูกชายยื่นมือไปคว้าด้ามจับกระทะ น้ำมันร้อน ๆ ราดใส่ศีรษะ ใบหน้าจนผิวหนังพุพอง จึงรีบนำตัวส่ง รพ.ลาดพร้าว ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน หมอได้ทำแผลแล้วใส่เครื่องช่วยหายใจนำเข้าห้องไอซียู


ทั้งนี้ตนต้องการส่งตัวไปรักษาต่อโรงพยาบาลของรัฐ โดย จนท.โรงพยาบาลลาดพร้าวช่วยติดต่อให้ แต่วันเกิดเหตุนั้นไม่มี รพ.ไหนรับสักที จากนั้นมีการติดต่อไปยัง รพ.กรุงเทพฯ ซึ่งจะมี ค่าใช้จ่ายในการรักษาประมาณ 3 ล้านบาท ระยะเวลา 2 สัปดาห์ (ทำแผลครั้งละ 1 แสนบาท/วันละ 2 ครั้ง) ตนคุยกับภรรยาว่าค่าใช้จ่ายมันสูง จึงทำเรื่องย้ายไป รพ.รามคำแหง เพราะค่าใช้จ่ายพอยอมรับได้ นอกจากนี้มีการผ่าตัด มีค่าใช้จ่าย 120,000 บาท ขณะที่ทางโรงพยาบาลแจงว่าน้องจะต้องอยู่ไอซียูอย่างน้อย 1-2 เดือน คำนวณค่าใช้จ่ายแล้วประมาณ 2 ล้านเศษ ซึ่งค่อนข้างเยอะ ระหว่างนั้นนั้นทางโรงพยาบาลก็คอยประสาน รพ.รัฐให้


ตนจึงตัดสินใจโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัวเพื่อขอรับบริจาคในวันที่ 1 เม.ย.64 ภายใน 2-3 ชั่วโมงมีคนแชร์และบริจาคเงินให้จำนวนมาก (บัญชีดังกล่าวเป็นชื่อภรรยา เปิดฝากเงินไว้ให้ลูกชายเมื่อปี 2563 มีเงินค้างอยู่ในบัญชี 50,500 บาท) บางคนโทรมาสอบถามที่โรงพยาบาลรามคำแหง ว่าน้องรักษาตัวอยู่ รพ.นี้จริงหรือไม่ ช่วงเย็นวันเดียวกันตนได้ย้ายลูกชายไปรักษาต่อที่ รพ.ศิริราช และเช็คบัญชีมียอดสุทธิประมาณ 1.9 ล้านบาท จึงแก้ไขโพสต์ขอปิดรับบริจาค


ทั้งนี้ปิดบัญชีแล้วเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2564 ตอนนี้มียอดบริจาคจำนวน 1,945,853.98 ล้านบาท เงินยังอยู่ในบัญชี ยังไม่ได้โอนไปไหน ตนปรึกษากับครอบครัวตัดสินใจ จะมอบเงินทั้งหมดให้กับโรงพยาบาลศิริราช ดูแลบัญชีและค่าใช้จ่ายในการรักษาลูกชาย โดยจะไม่นำเงินบริจาคมาใช้จ่ายส่วนตัวเพื่อตัดปัญหาดราม่า ใครอยากได้เงินคืนให้ติดต่อไปที่โรงพยาบาลเอง


นายทศพล ยอมรับว่า ตนทำธุรกิจจำหน่ายล้อแม็กซ์มา 4 ปี แล้ว บ้านหลังที่เห็นในเฟซบุ๊ก หลายคนบอกว่าหลังใหญ่โตนั้น เป็นบ้านของภรรยาอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ ทุกวันนี้ครอบครัวของตนเช่าบ้านอยู่ย่านลาดพร้าว เดือนละประมาณ 1 หมื่นบาท มีรถกระบะของตน 1 คัน ,กระบะของพี่ชาย 1 คัน ,รถยนต์ของภรรยาอีก 1 คัน นอกจากนี้ตนเพิ่งซื้อรถ จยย.บิ๊กไบค์ CBR 1000 CC อีก 1 คัน เมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา (มื้อ 2 จ่ายสด) ราคา 2.3 แสนบาท ยังไม่ได้โอนเล่ม แต่ละเดือนมีค่าใช้จ่ายประมาณ 4 หมื่นบาท เงินนำไปรักษาลูกจึงไม่เพียงพอ ส่วนประเด็นที่ตนไปตอบคอมเม้นต์ว่า “คนตรวจสอบมันโง่ไง” ไม่เกี่ยวกับกรณีเปิดรับบริจาคให้น้องเลย แค่คุยเล่น ๆ กับเพื่อนเรื่องเงินช่วยเหลือโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล บางคนเงินเยอะแต่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ ตนจึงเม้นต์ไปอย่างงั้น


ณ เวลานี้ ยังไม่ได้คิดต้องขายรถขายบ้านนำเงินมารักษาลูก มันยังไม่ถึงจุดนั้น ที่โพสต์ขอรับ บริจาคแค่อยากจะช่วยลูก ไม่คิดว่ายอดเงินจะเยอะขนาดนี้ จะขายรถขายบ้านทำได้ยาก ไม่ใช่วันเดียวก็ขายได้เลย ส่วนทองรูปพรรณที่เห็นขายไปนานแล้ว แบ่งเงินส่วนหนึ่งมาซื้อ รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ เพราะเป็นความชอบส่วนตัว หากใครสงสัยก็สอบถามได้ส่วนตัว ไม่คิดเอาชีวิตลูกมาหากิน ที่เปิดขอรับบริจาคเพราะ ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลมันเยอะ หัวอกคนเป็นพ่อเจตนาต้องการรักษาลูก กระแสสังคมโจมตี หนักมากว่าพ่อแม่ทำให้ลูกเป็นอย่างนี้เพื่อหากินกับลูก เอาลูกมาขอทาน ผมไม่ก้าวก่ายความคิดเห็นของใคร ถ้ามันผิดผมพร้อมน้อมรับ ถ้าได้ฟังในสิ่งที่ผมพูดบ้างจะเข้าใจในความเป็นพ่อ ลูกผมป่วยจริงไม่ได้สร้างเรื่องเพื่ออยากได้เงินบริจาค


ขณะที่นางสาวรัญจวน สุริฉาย อายุ 40 ปี กล่าวทั้งน้ำตาว่า หัวอกคนเป็นแม่ไม่ต้องการให้ลูกเจ็บ หรอก ตนจะไม่ต่อว่ากลับ เราไม่รู้ใครดีหรือร้าย ใครแสดงความคิดเห็นไม่ดีอะไรมา ตนก็ไม่ได้ใส่ใจมันคืออุบัติเหตุ บางคนบอกว่าทำให้ลูกเจ็บแล้วเอาลูกมาหากินหรือเปล่า อยากบอกว่าคน เป็นแม่แค่เห็นลูกล้มได้รับบาดเจ็บเราก็เจ็บเหมือนกัน ตนไม่ได้ทำร้ายลูกโพสต์ต้องการขอเงินบริจาค ใครจะเอาชีวิตลูกมาเสี่ยง เข้าใจความคิดคนเราไม่เหมือนกัน


คุณคิดได้อย่างไรว่าแม่ทำร้ายลูก แล้วเอาลูกไปหากิน เงินล้านกว่าบาทถ้าซื้อชีวิตลูกได้ ตนไม่อยากให้ลูกเจ็บ ตนรู้สึกจุกลูกเจ็บปางตายเข้าห้องไอซียู ตนก็อยากให้ลูกหาย ตนไม่มีเงินมาก พอเป็นค่ารักษาพยาบาล คิดว่าเรามีเงินมากเหรอ หมอไม่ได้กำหนดว่าลูกจะหายหรือออกโรงพยาบาลเมื่อไหร่ ต้องรักษา ระยะยาว ถ้าไม่โดนกับตัวมีรู้หรอก คนเป็นพ่อแม่ทรมานแค่ไหน เห็นลูกนอนเจ็บไม่รู้ชะตากรรม ไม่อยากเห็นลูกในสภาพแบบนั้น ตอนนี้น้องอยู่ในภาวะวิกฤติต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด


ชมผ่านยูทูบที่ : https://youtu.be/Q4iSnue7YlQ

คุณอาจสนใจ

Related News