สังคม

'ทนายวัฒนา' ยันไม่ได้ยุฟ้องครอบครองปรปักษ์ แค่แนะสิทธิ์ตามกม. ด้านพี่สาว ขอโทษอากู๋ จ่อถอนฟ้อง

โดย panwilai_c

27 ก.พ. 2567

96 views

หลังคุณนุ 1 ในผู้ต้องหาคดีบุกรุกบ้าอากู๋ หรือบ้านปรปักษ์ ตัดสินใจทำร้ายตัวเองภายในบ้านพักเลียบถนนกาญจนาภิเษกเสียชีวิตเมื่อวานนี้ (26ก.พ.) ล่าสุดวันนี้ครอบครัวมอบหมายให้ตัวแทนมารับร่างที่โรงพยาบาลตำรวจเพื่อไปบำเพ็ญกุศล



กรณีการเสียชีวิตของนางสาว ภาณุมาส สามัคคี อายุ 52 ปี เสียชีวิตจากการใช้ผ้าปูที่นอน ผูกคอเมื่อช่วงเช้าวานนี้ (26ก.พ.) ตำรวจ สน.คันนายาวส่งร่างมาชันสูตรพลิกศพ ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ



ปรากฏว่าตลอดทั้งวันไม่มีญาติของคุณณุมาติดต่อรับศพ กระทั่งเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ตัวแทนผู้รับมอบอำนาจได้เคลื่อนย้ายร่างได้นำรถตู้มาเคลื่อนย้ายร่างของคุณณุไป ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่วัดบางเตย ถนนนวมินทร์



ส่วนประเด็นที่ก่อนหน้านี้มีข้อมูลจากทางญาติว่า ผู้เสียชีวิตบริจาคร่างเอาไว้ ปรากฎว่าร่างผู้ตายต้องผ่าชันสูตรเพราะเสียชีวิตแบบผิดธรรมชาติ ซึ่งเข้าเงื่อนไขของสภากาชาดว่า "เกี่ยวข้องกับคดีที่ต้องมีการผ่าพิสูจน์" ทำให้ไม่สามารถบริจาคร่างตามที่ตั้งใจไว้ได้ จึงต้องนำร่างไปบำเพ็ญกุศลที่วัดทันที



สภากาชาดไทย ระบุข้อยกเว้นสำหรับผู้บริจาคร่างกายไว้ดังนี้ 1.ถึงแก่กรรมเกิน 20 ชั่วโมง ยกเว้นได้เก็บไว้ในห้องเย็นของโรงพยาบาล 2.ผ่านการผ่าตัดใหญ่ ทำให้สูญเสียอวัยวะสำคัญๆ ยกเว้นดวงตา 3. ถึงแก่กรรมมีสาเหตุจากโรคมะเร็งที่ลุกลามบริเวณศีรษะ และสมอง ช่องอก ช่องท้อง 4. โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (โรคเอดส์) 5.ไวรัสตับอักเสบ 6. วัณโรค 7.พิษสุนัขบ้า 8.เสียชีวิตจากอุบัติเหตุร่างกายแหลกเหลว / 9. เกี่ยวข้องกับคดีที่ต้องมีการผ่าพิสูจน์ 10. สภาพร่างกายที่ไม่เหมาะจะใช้ศึกษา คือ แขน ขา คด งอ จนเสียรูปร่าง 11. อยู่ในสภาพเน่าเปื่อยมีกลิ่นรุนแรง จะไม่สามารถบริจาคร่างเป็นอาจารย์ใหญ่ได้



คุณศรีพรรณ เปิดใจครั้งแรก สูญเสียน้องสาวกะทันหัน ยืนยันจะถอนฟ้องคดีปรปักษ์ พร้อมยกมือไหว้ขอโทษอากู๋ ขณะที่งานศพเป็นไปปด้วยความเศร้าโศก โดยมีทนายวัฒนา มาร่วมงานด้วย



ร่างของน.ส.ภานุมาศ ผู้เสียชีวิตมาประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดบางเตย เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ญาติๆ ถึงกับร่ำไห้ทำใจกับเหตุการณ์ความสูญเสียครั้งนี้ไม่ได้



วันนี้มีพิธีรดน้ำศพ น.ส.ภานุมาศ โดยมีคุณเอ๋ สามี คุณศรีพรรณ พี่สาว พร้อมด้วยครอบครัวร่วมรดน้ำศพ คืนนี้จะมีพิธีสวดพระอภิธรรมเป็นคืนแรก และจะมีการสวดพระอภิธรรม 5 คืน ก่อนจะมาการฌาปนกิจ ในวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคมนี้ ส่วนความประสงค์ น.ส.ภานุมาศ ที่บริจาคร่างเป็นอาจารย์ คุณเอ๋ สามีผู้ตาย ให้ข้อมูลว่า ภรรยาได้บริจาคร่างเป็นอาจารย์ใหญ่ ก็ได้ทำตามประสงค์แล้วขณะที่มีการชันสูตร ก่อนที่แพทย์จะส่งร่างกลับมาให้ทางครอบครัวประกอบพิธีทางศาสนา



จากนั้น นางสาวศรีพรรณ บุคคลที่ชื่อปรากฏในแผ่นติดประกาศว่าได้กรรมสิทธิ์ครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมาย เปิดใจครั้งแรกกับผู้สื่อข่าวครั้งแรก ระบุว่า ตนยินดีที่จะถอนฟ้องคดีครอบครองปรปักษ์ให้อากู๋ ก่อนจะยกมือไหว้ และกล่าวขอโทษอากู๋ที่เรื่องราวมาถึงขนาดนี้ ส่วนตัวเองรู้สึกเสียใจ ที่สูญเสียน้องสาวกะทันหัน



จากนี้ตนจะขอพบทนายวัฒนาอีกรอบเพื่อพูดคุยกันถึงแนวทางจากนี้ แต่ยืนยันว่าตนยินดีที่จะถอนฟ้องคดีครอบครองปรปักษ์ให้



เมื่อถามว่าทนายวัฒนา ติดต่อมาพูดคุยหรือยัง ป้าศรีพรรณ ระบุว่า "ทนายเองก็ยินดีที่จะถอน ไม่ใช่ว่าจะไม่ถอน แต่ว่าต้องรอนิดนึง" ทั้งนี้ ส่วนจะถอนฟ้องเมื่อไหร่นั้นยังให้คำตอบไม่ได้ เพราะขอจัดการเรื่องงานศพน้องสาวก่อน



ในส่วนคดีปรปักษ์ ทนายวัฒนาไม่ได้แนะนำอะไร บอกเพียงแค่ว่าคดีของเรา เป็นคดีอาญา ทนายความสามารถช่วยให้พ้นผิดได้ ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินจึงดันทุรังให้ฟ้องครอบครองปรปักษ์แต่อย่างใด



ส่วนเหตุการณ์ที่น้องสาวของตน ก้มกราบทนายวัฒนา เพราะอยากถอนฟ้องคดีครอบครองปรปักษ์นั้น ขอยืนยันว่าเป็นการนั่งคุยกัน ปรึกษากันธรรมดาไม่มีการนั่งกราบแต่อย่างใด



คุณป้าศรีพรรณ ระบุว่า ส่วนตัวยังไม่เคยคุยหรือเจอกับอากู๋ มีแต่น้องสาวเป็นคนคุย จึงอยากบอกผ่านตรงนี้ว่า "ขอโทษอากู๋ และทำให้วุ่นวายกันทั้งคุณซัน คุณอาย ที่จริงเรามีทางที่มาแก้ไขกัน มาคุยกันในทางทางที่ดีได้" ก่อนจะทิ้งท้ายว่าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียใจกับการสูญเสียครั้งนี้เพราะกะทันหันมากเหลือเกิน "ป้าพรรณก็เสียใจ ที่มาเสียน้องสาวเรื่องพวกนี้"



บางช่วงของการสัมภาษณ์คุณป้าศรีพรรณ บอกกับนักข่าวว่า ตนอยากขอความเป็นส่วนตัวเพราะเห็นนักข่าวก็รู้สึกกดดันเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจทุกๆคน และก่อนเวลา 16:00 น. ทนายวัฒนา (เสื้อขาว) ได้เดินทางมาร่วมรดน้ำศพด้วย



ด้าน พลกฤษณ์ สามีคุณนุ ผู้เสียชีวิต เปิดใจทั้งน้ำตา ไม่มีเจตนาเอาของใครมาเป็นของตัวเอง ยืนยัน ไม่ขอเดินหน้าต่อเรื่องครอบครองปรปักษ์แล้ว พร้อมขอโทษอากู๋-ซัน-อายผ่านสื่อ เชื่อหากภรรยาไปขอโทษได้ คงอยากไปขอโทษอากู๋ด้วยตัวเอง




นายพลกฤษณ์ หรือ คุณเอ๋ สามีของนางสาวภานุมาศ ผู้เสียชีวิต เปิดใจกับทีมข่าวทั้งน้ำตาว่า ในส่วนของคดีบุกรุก ซึ่งเป็นคดีอาญา ตนต้องให้เกียรติฟังทนายคนแรกก่อน แต่ในส่วนของคดีครอบครองปรปักษ์ก็ยืนยันว่าจะไม่เดินหน้าต่อแล้ว ไม่เดินหน้าตั้งแต่ก่อนที่ภรรยาจะจากไปด้วยซ้ำ ซึ่งพวกตนสองคนคุยกันทุกวันอยู่แล้วในเรื่องนี้ ที่ผ่านมายอมรับว่าภรรยารู้สึกเครียดและกดดันมาก แม้ว่าพวกเราจะตั้งใจอยากไกล่เกลี่ยและยอมอยู่แล้ว




เมื่อถามว่าคดีบุกรุกจะยอมรับสารภาพ หรือปฏิเสธนั้น นายเอ๋ บอกว่า ขอคุยกับทนายก่อน เพราะยังไม่ได้คุยกัน เรื่องนี้ยังอยู่ในชั้นอัยการ แต่ในใจของพวกเรา อยากขอไกล่เกลี่ยในทุกขั้นตอนจริงๆ ตามภาพที่ตนได้ส่งแชตไปหาอีกฝ่าย และตามที่ได้ยินเสียงจากคลิปที่ได้คุยกับอากู๋ ข้อเท็จจริงเป็นแบบนั้นเลย




ผู้สี่อข่าวถามย้ำว่า จะถอนทนายวัฒนาออกจากคดีครอบครองปรปักษ์เลยหรือไม่ นายเอ๋ บอกว่า ทางเราคุยกันอยู่แล้วว่าจะถอนครอบครองปรปักษ์กันตั้งแต่เกิดเหตุครั้งที่ 2 ที่มีเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น เพราะเหตุการณ์นั้นบีบหัวใจภรรยามาก ภรรยาถึงขั้นดาวน์ลงและเฟลมาก ยิ่งพอมาเกิดเหตุการณ์วันนี้ ตนเองต้องการจะยกเลิกอยู่แล้ว ไม่เดินหน้าคดีครอบครองปรปักษ์แน่นอน




ส่วนประเด็นภรรยาก้มกราบเท้าทนาย ขอร้องให้ถอนคำร้องครอบครองปรปักษ์นั้น ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่เป็นการนั่งธรรมดาก้มกราบ ส่วนตอนนั้นตนนั่งทำงานอยู่ มีเพียงภรรยาที่พูดคุยกับทางทนายเท่านั้น และพยายามขอร้องให้ทุกอย่างมันจบๆซะ ด้วยเหตุการณ์ที่คงบีบหัวใจเขามาก ทำให้ไม่อยากเดินหน้าต่อ ประกอบกับภรรยาเป็นคนที่ตัดสินใจ บางทีก็ด้วยอารมณ์เครียด เขาก็เลยหาวิธีทำยังไงก็ได้ ให้ครอบครองปรปักษ์มันหยุดเป็นรูปธรรม จึงทำแบบนั้นไป




เมื่อถามว่าครอบครองปรปักษ์ใครเป็นคนริเริ่มให้ยื่นคำร้องเรื่องนี้ นายเอ๋ บอกว่า ไม่ขอตอบว่าใคร พร้อมยืนยันว่าทนายความไม่ได้ย้ำให้สู้ขนาดนั้น แต่อาจจะเป็นทำนองให้คำปรึกษาว่า ถ้าเป็นในทางกฎหมายสามารถทำได้ แต่หากถามถึงจุดเริ่มต้นตรงนี้ ตนไม่สามารถพูดได้ เพียงแต่บอกได้ว่าคดีที่ 2 พี่สาวของภรรยาเป็นคนทำ ตนไม่ได้ไปยุ่ง




นอกจากนี้ ในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนที่ภรรยาจะเสียชีวิต เขาเคยพูดตลอดว่า "จะขอออกหน้ารับผิดเองคนเดียว" นั้น เรื่องนี้ เขาคุยกับตนที่บ้านทุกวัน คดีแรกเป็นคดีอาญาถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาขอรับผิดคนเดียว เพราะไม่อยากให้ทุกคนต้องมาติดคุก ซึ่งตนมองว่าบางทีก็ไม่ใช่เรื่องของเขาสะคนเดียว แต่ด้วยนิสัยเขา มีเจตนาขอเป็นคนรับผิด เพียงเพราะอยากปกป้องคนในครอบครัว โดยเฉพาะตนเป็นหลัก หากย้อนกลับไปจะไม่เคยเห็นหน้าตนผ่านสื่อเลย จะเห็นแค่ช่วงที่ไปพบอัยการ วันนี้ยอมรับว่าในฐานะสามี ตนรู้สึกผิดและสำนึกผิดเป็นอย่างมากว่า ทำไมต้องให้ผู้หญิงออกมาปกป้อง ที่ผ่านมาเขาห้ามตนมาตลอด ไม่อยากให้ตนออกหน้าและไม่อยากให้เรื่องนี้มีผลเสียต่อการทำงาน มันเลยทำให้เรื่องทุกอย่างไปกดดันเขา




ส่วนเรื่องสื่อมีผลทำให้ภรรยากดดันหรือไม่นั้น จะปฏิเสธเลยว่าไม่มีผลเลย ก็คงไม่ใช่ โดยยอมรับว่าก็มีเปอร์เซ็นต์อยู่ เราสองคนไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ครั้งแรกจิตใจมันก็ดาวน์ลง จากที่หายไปประมาณซัก 30 เปอร์เซ็นต์ สู้ซัก 70 เปอร์เซ็นต์ พอมาพักหลังมันเหลือแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ที่จะสู้ / บางวันภรรยาก็เอาแต่โทษตัวเองอยู่ในกระจก ว่า "ฉันเป็นคนเลวในสังคมขนาดนั้นเลยหรอ? แย่ขนาดนั้นเลยหรอ? ทุกอย่างต้องกดดันเขาขนาดนี้เลยหรอ? ทั้งข้อมูลส่วนตัวของภรรยาและตนที่หลุดออกไป ทำให้เขาวิตกกังวล แม้ว่าบางอย่างจะไม่เป็นความจริงเลยก็ตาม




เมื่อถามว่าหลังจากนี้ 4 คน จะทำอย่างไรต่อนั้น ยังไม่ได้ปรึกษาหารือกันเป็นจริงเป็นจังเป็น รอให้เสร็จงานตรงนี้เรียบร้อยก่อน แล้วจะมาคุยกันอีกครั้ง แต่ในส่วนของคดีความก็ต้องเคลียร์กันต่อแน่นอน พร้อมยืนยันในวันนี้ได้แค่ว่า ครอบครองปรปักษ์ไม่เดินหน้าต่อ เราไม่เดินหน้าต่อก่อนที่ภรรยาจะเสียด้วยซ้ำ ให้อีกฝ่ายสบายใจได้




นายเอ๋ ยังฝากผ่านสื่อไปถึงอากู๋ คุณซัน และ คุณอายด้วยว่า "ขอโทษที่ปล่อยเวลาครั้งแรก ครั้งที่สองเนิ่นนานเกินไป ยอมรับว่าผิดแต่ไม่เข้าขอโทษก่อนด้วย มันก็เลยทำให้เกิดความเข้าใจผิดในหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นจากตัวของเรา และอาจทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ ซึ่งก็ได้พูดแต่ขอโทษ โดยในใจลึกๆ เจตนาของเราสองคนสามีภรรยา ไม่คิดจะเอาอะไรที่ไม่ใช่ของเรา มาเป็นของตัวเองอยู่แล้ว เราทำงานมาก็ซื้อบ้านอยู่กันเอง สู้กันมาตลอด เพียงแต่เห็นสภาพแวดล้อมตรงนี้มันไม่ดี ก็แค่อยากจะดูแลให้มันดีเท่านั้น




อยากจะขอโทษอากู๋ น้องซัน น้องอาย และอยากบอกว่าให้รักกันมากๆ พี่คงไม่มีเหมือนน้องอีกแล้ว ก่อนที่เจ้าตัวจะร้องไห้ และกล่าวต่อว่า ต้องขอโทษสังคมจริงๆ ที่ทำให้เรื่องทุกอย่างมันดูรุนแรง ซึ่งบางทีมันก็ดูไม่ควร ยืนยันว่าเจตนาลึกๆ ตนไม่ได้อยากได้ของใคร หากคนนี้ครอบครองปรปักษ์ยังเดินหน้าอยู่ หากชนะ ตนก็จะขอคืนบ้านให้อากู๋อยู่ดี ตนไม่เอา




เมื่อถามย้ำว่ามีปัจจัยอะไรหรือไม่ที่ทำให้จากเรื่องเล็กกลายเป็นกลายเป็นเรื่องใหญ่นั้น ยืนยันว่า ไม่มีปัจจัยอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นความคิดของเราเอง เพียงแต่เราขาดความรู้ทางด้านกฎหมาย ไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบ เราคิดเพียงแต่เราทำผิดจะจะทำยังไงให้พ้นผิด และเราอยากจะตอบสังคมได้ว่า "เราไม่อยากครอบครอง" พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้มันหนักกว่าที่เราจะรับได้ เลยหาแนวทางจากความผิดที่หนักกลายเป็นเบา แต่ยืนยันว่าไม่มีเจตนาจะเอาของใคร




นายเอ๋ ยังพูดถึงภรรยาเป็นครั้งสุดท้าย ยอมรับว่าตนเป็นห่วง ห่วงมากด้วย เราอยู่ในพระพุทธศาสนา เรารู้ว่าวิธีการไปแบบนี้มันไม่ถูก ทุกท่านคงทราบ เพราะฉะนั้นนี่คือความห่วง ที่ตนห่วงเค้าอยู่ ไม่รู้เค้าเป็นยังไง แต่รู้ว่าเค้าคงไม่ได้สงบ แต่คิดว่าถ้าเขาไปขอโทษอากู๋ได้ เขาก็คงไป



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/3QO1XmJytpA

คุณอาจสนใจ

Related News