สังคม

เปิดเส้นทางชีวิต 'หมอกฤตไท' ต่อสู้มะเร็งก่อนจากไป โซเชียลอาลัย ขอบคุณทุกข้อคิดดีๆ

โดย panwilai_c

5 ธ.ค. 2566

325 views

สุดเศร้า พ่อ หมอกฤตไท เพจ สู้ดิวะ โพสต์ถึงลูกชาย เสียชีวิตหลังจากป่วยเป็น "มะเร็งปอดระยะสุดท้าย" แห่แสดงความเสียใจ เผย "คุณหมอจะอยู่ในใจเราตลอดไป"



ถือเป็นข่าวเศร้าสำหรับคนติดตามชีวิตของ นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล คุณหมอที่ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย และได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเพจเฟซบุ๊ก "สู้ดิวะ" ที่ล่าสุด นายไทภัทร ธนสมบัติกุล คุณพ่อของ นพ.กฤตไท ได้โพสต์แจ้งข่าวเศร้าว่า "เดินทางปลอดภัยครับ ลูกชาย #สู้ดิวะ" พร้อมโพสต์ภาพแคปหน้าจอมือถือที่มีรูปของ นพ.กฤตไท พร้อมกับเวลา 10.59 น. ของวันที่ 5 ธันวาคมอีกด้วย ซึ่งมีผู้เข้าไปแสดงความเสียใจ และ อาลัยกับการสูญเสียของ นพ.กฤตไท จำนวนมาก



สำหรับประวัติของ นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล จบมัธยมจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สอบติดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งหลังจากเรียนจบ คุณหมอกฤตไทได้ศึกษาต่อเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวเป็นเวลา 3 ปี



ขณะที่เรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง คุณหมอกฤตไทตัดสินใจเริ่มเรียนอีกด้านหนึ่งไปด้วยกันคือ ระบาดวิทยาคลินิก (Clinical Epidemiology and Clinical Statistic) เกี่ยวกับการรักษาผู้ป่วย ด้วยการสร้างผลงานวิจัย ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และสถิติ



นอกจากนี้ คุณหมอกฤตไทยังได้เรียนวิศวกรรมศาสตร์ต่อในระดับปริญญาโทด้านวิทยาการข้อมูล ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อต่อยอดแนวคิดทางธุรกิจ การแก้ปัญหา และการจัดการข้อมูลที่สำคัญในโลกอนาคต



หลังจากที่เรียนจบเฉพาะทาง คุณหมอกฤตไทถูกบรรจุเข้าทำงานเป็นอาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมีความรู้ความสามารถจนได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม CE (Clinical Epidemiology) ร่วมกับอาจารย์อีกหลายท่าน



นพ.กฤตไท ชอบออกกำลังกาย อาทิ การเล่นบาสเกตบอล ดูแลสุขภาพ ไม่สูบบุหรี่ วางแผนซื้อบ้านและแต่งงานกับคนรัก กระทั่งเมื่อเดือนตุลาคม 2565 คุณหมอกฤตไทสังเกตถึงความผิดปกติของอาการไอของตัวเอง จึงเข้ารับการตรวจ และพบว่ากำลังป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 ซึ่งไม่สามารถผ่าตัดเพื่อรักษาให้หายขาดได้ ปัจจัยเดียวที่เป็นไปได้คือภาวะฝุ่น PM2.5 ที่รุนแรงในจังหวัดเชียงใหม่



หลังเข้ารับการรักษา คุณหมอกฤตไทจึงตัดสินใจเปิดเพจ "สู้ดิวะ" และบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 65 มีคนเข้าไปร่วมแสดงความเห็น ให้กำลังใจ ถูกแชร์จำนวนมาก จนกลายเป็นข่าวโด่งดังขึ้นมา จากนั้น นพ.กฤตไท ได้เขียนหนังสือ "สู้ดิวะ" ขึ้นมา เพื่อแบ่งปันเรื่องราวต่าง ๆ และส่งต่อสิ่งเล็ก ๆ บางอย่างให้สังคม



จากนั้นช่วงต้นปี 66 คุณหมอกฤตไท บอกเล่าเรื่องราวการรักษาว่า ตนตอบสนองดี ก้อนใหญ่ที่ปอดขวาเล็กลง ก้อนเล็กที่ปอดซ้ายก็หายไปหมด ร่างกายแข็งแรงกว่า 3 เดือนก่อน ซึ่งระหว่างที่รักษาอาการป่วย คุณหมอทุ่มเทกับการศึกษาศาสตร์ของจิตใจ ทั้งทางศาสนา และทางจิตวิทยา เพื่อจัดการกับสภาพจิตใจของตัวเอง



อาการป่วยก็ดีขึ้นมาก ๆ สามารถกลับไปออกกำลังกายได้แทบจะปกติ เล่นบาสได้ ปั่นจักรยานได้ ฟิตร่างกายให้กลับไปเหมือนตอนก่อนป่วย และได้กลับไปสอนนักศึกษา จึงเริ่มวางแผนที่จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป มีภาพการเดินทางไปต่างประเทศ และใช้ชีวิตกับครอบครัว รวมถึงหนังสือ "สู้ดิวะ"



กระทั่งเมื่อเดือนตุลาคม 2566 ทางเพจสู้ดิวะได้โพสต์แจ้งว่า ตอนนี้คุณหมอกฤตไทอาการไม่ค่อยดีนัก มะเร็งมีการลุกลามไปทั่วร่างกาย ใช้ชีวิตไม่ได้ปกติเหมือนเก่าจริงๆคุณหมอวางแผนที่จะไปร่วมงานแจกลายเซ็นที่งานหนังสือ มีการเตรียมการไว้แล้ว แต่เกิดเหตุที่ต้องเข้ารับการรักษาด่วน ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปไหว



จากนั้นเมื่อวันที่ 22 ต.ค. คุณหมอกฤตไทตัดสินใจเข้าพิธีแต่งงานกับคุณพีม แฟนสาว เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2566 เป็นงานเล็ก ๆ สุดอบอุ่น คุณพีมได้กล่าวคำพูดสุดซึ้งถึงคุณหมอกฤตไทว่า หลายคนอาจจะมองว่าเธอโชคร้าย แต่เธอคิดว่าเธอโชคดีมาก ๆ ตั้งแต่ได้พบคุณหมอกฤตไท



พีมว่าพีมโชคดีมาก ๆ จริง คือพี่ไทจะพูดตลอดเลยว่า เธอโชคร้ายหรือเปล่า พีมก็จะตอบพี่ไททุกครั้งเลยว่า พีมโชคร้ายที่พีมไม่รู้ว่าพีมจะอยู่กับพี่ไทไปถึงเมื่อไร พีมโชคร้ายแค่นั้นเลย ที่เหลือตั้งแต่ที่พีมพบพี่ไท พีมรู้สึกมาตลอดเลยว่าพีมโชคดี ที่เจอคู่ชีวิตได้เร็วขนาดนี้ ไม่ว่าเรื่องมันจะไปทางไหน ไม่ว่าเรื่องมันจบยังไง ตอนนี้โชคดีที่สุดแล้วค่ะ



ในขณะเดียว หมอกฤตไท ก็ได้บอกว่า "การที่เธออยู่ข้าง ๆ เค้า มันทำให้เค้ามีความหมายมากขึ้นจริง ๆ นะ และเราก็ว่าการที่เธอทำให้ชีวิตเรามีความหมายนี่แหละ มันสำคัญมากเลย"



ด้านคุณพ่อของคุณหมอกฤตไท กล่าวว่า "กว่าจะถึงวันนี้ สู้ ! เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า 2 คนนี้รักกันมากแค่ไหน ลูกจ๋า เวลาคือสิ่งสำคัญที่สุด มันไม่ใช่เงิน มันคือเวลาที่เราจะได้ใช้ร่วมกัน และทั้ง 2 คนก็ได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างดีที่สุด"



หลังจากนั้นวันที่ 5 พฤศจิกายน 2566 เฟซบุ๊ก Krittai Tanasombatkul ของหมอกฤตไท มีการเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นรูปในงานแต่งงาน จากนั้นมีการโพสต์ข้อความว่า "ผมคงอยู่อีกไม่นานแล้ว ใครมีอะไรอยากจะบอกผม เชิญได้เลย ผมคิดว่าน่าจะไปช่วงกลางเดือนหน้า จากนั้นไว้เจอกันใหม่นะครับ ณ ตอนนี้ผมพิมพ์ได้เท่านี้ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา และขอโทษที่ทำให้ใครไม่พอใจ"



นอกจากนี้ หมอกฤตไท ยังโพสต์ถึงความฝันที่อาจจะทำไม่สำเร็จด้วยว่า "ผมคงไม่ได้ไปดูบาสเกตบอล NBA ถึงสหรัฐอเมริกา คงไม่ทันได้เข้าไปอยู่ในบ้าน คงไม่ทันได้เจอพี่เพียว จากนี้ฝากบ้าน ฝากพีม ฝากครอบครัวด้วย ขอบคุณจากใจให้กับทุกคนที่ช่วยดูแล"



เมื่อวันที่ 8 พ.ย. คุณหมอกฤตไท ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวอีกครั้ง โดยระบุว่า "แพ้สุดทุกทางแล้วว่ะ กลับไปรอที่บ้าน หรือ นอนรอกลับบ้านที่นี่ดี" แต่ทำการปิดคอมเมนต์ ห้ามไม่ให้มีการแสดงความคิดเห็นใดๆ



และเมื่อวันที่ 18 พ.ย. ระหว่างการแข่งขันกีฬา จตุรมิตรครั้งที่ 30 ที่สแตนเชียร์ของโรงเรียนสวนกุหลาบได้แปรอักษร เป็นรูปของหมอกฤตไท ศิษย์เก่าสวนกุหลาบรุ่น 131 เจ้าของ "เพจสู้ดิวะ" ที่ป่วยเป็นมะเร็ง



ก่อนหน้านี้ นัดหมายจะปรบมือให้ นพ.กฤตไท ในฐานะศิษย์เก่าสวนกุหลาบรุ่น 131 ในฟุตบอลคู่ชิงชนะเลิศ โดยพบว่าในนาทีที่ 10 ของการแข่งขัน ทั้งสนามได้เริ่มปรบมือในนาทีที่ 9 เมื่อถึงนาทีที่ 10 ก็จะตะโกน "สู้ดิวะ" ทั้งหมด 10 ครั้ง เนื่องจากหมอกฤตไทเกิดวันที่ 10



มีเรื่องราวที่น่าสนใจจาก "บทท้ายเล่ม" ของ หนังสือสู้ดิวะ ที่ คุณหมอกฤตไท ได้เขียนว่า ระบุว่า



ถ้าจะให้สรุปบทเรียนจากน้องมะเร็งในช่วงที่อยู่ด้วยกันมาคงสรุปได้ว่า "ชีวิตไม่แน่นอน สุดท้ายเราทุกคนจะต้องตาย จงอยู่กับปัจจุบัน ใช้แต่ละวันให้เหมือนวันสุดท้าย ถ้ามีอะไรที่ทำเพื่อคนอื่นได้ ก็แบ่งปันความโชคดีให้เขาบ้าง และไม่ว่าชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหน อย่าหมดหวังกับชีวิตเด็ดขาด"



มาคิดดูดีๆ ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ดูผิดปกติเหมือนกันนะครับ ที่ผมจะต้องมาตายก่อนที่จะแก่ เมื่อก่อนผมดูแลตัวอย่างดี เพื่อที่จะให้ตอนแก่ไม่เป็นโรคเรื้อรังอย่าง เบาหวาน ไขมัน ความดัน ผมอยากเป็นคนแก่ที่ผมหงอกแต่มีกล้าม สุขภาพแข็งแรง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสไปถึงวันนั้นเสียแล้ว ยอมรับว่ามันก็รู้สึกเจ็บปวดจริงๆ แต่ก็นี่แหละครับ ชีวิต ชีวิตที่แสนเปราะบาง ชีวิตที่เราเคยเข้าใจผิดไปว่าเรามีสิทธิ์ในการจะบงการมันไปอีกยาวนาน ผมรักชีวิตของผมตอนนี้มาก ผมรักทุกคนรอบตัวผม รักทุกอย่างที่ผมมี รักทุกสิ่งที่ผมเป็น แน่นอนว่าผมไม่อยากจากไป แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้



ผมหวังว่าเรื่องของผมจะช่วยให้คุณกลับมามองชีวิตตัวเองแล้วฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาเป็นโรคร้ายแบบผม



กับตัวเอง ตั้งแต่ป่วยมา ผมเลิกให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องน่าหงุดหงิด เรื่องน่ากังวลไร้สาระที่เมื่อก่อนผมให้ความสำคัญกับมันเสียมากมาย ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องรอให้ป่วย คุณก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจเรื่องไร้สาระพวกนั้นได้ตอนนี้เลย



วันนี้คุณอาจกำลังทำงานเกินเวลา คุณอาจหัวร้อนที่ตีบวกไม่ติด คุณอาจหมดใจกับองค์กร คุณอาจหงุดหงิดพุงย้อยๆ ของตัวเอง คุณอาจไม่พอใจที่ตอนไปดัดผมออกมาแล้วหยิกเกินไป คุณอาจอยากให้ซิกแพ็คคุณชัดกว่านี้สักหน่อย หรือ อาจกำลังรำคาญสิวบนใบหน้า



เรื่องไร้สาระพวกนี้ ช่างหัวมันเถอะครับ



ผมเคยสนใจเรื่องพวกนี้มากพอๆ กับคุณแหละครับ แต่เชื่อผมเถอะ คุณจะไม่คิดถึงมันเลย ถ้าคุณกำลังจะตาย



พอเราไม่ต้องเสียเวลาให้กับเรื่องเล็กๆ พวกนั้นแล้ว คุณจะมีสมาธิมากพอที่จะโฟกัสกับอาหารตรงหน้า โฟกัสกับการวิ่ง โฟกัสกับอากาศบริสุทธิ์ที่คุณยังสามารถหายใจเอามันเข้าไปในปอดของคุณได้ โดยไม่มีอาการเจ็บหน้าอกแบบผม คุณลองมองความสวยงามของธรรมชาติ มองรอยยิ้มของคนรอบข้าง และเสียงหัวเราะของคนที่คุณรัก มันพิเศษมากๆ เลยที่คุณยังทำสิ่งเหล่านี้ได้



ผมเห็นคนบ่นว่ามันยากแค่ไหนที่จะไปออกกำลังกาย เงื่อนไขต่างๆ ที่ทำให้เขาไม่สามารถดูแลร่างกายตัวเองได้ ให้ตายเถอะ ผมอยากไปออกกำลังกายมากๆ คุณควรดีใจนะ ที่คุณยังไปออกกำลังกายได้ ดังนั้น ไปเถอะครับ ออกไปดูแลสุขภาพตัวเองในตอนที่คุณยังทำได้ แม้ว่ารูปร่างของเราจะยังไม่ใช่แบบที่เราต้องการ แต่การออกกำลังกายและกินอาหารที่เป็นประโยชน์ มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่เราควรทำจริงๆ ครับ



สิ่งสำคัญนอกจากการดูแลร่างกายคือการดูแลสุขภาพจิตของเรา ปัจจุบันเราอยู่ในโลกที่สังคมออนไลน์ที่น่ากลัวมาก และที่สำคัญกว่านั้นคือสังคมรอบข้างตัวคุณ เราเปลี่ยนความคิดคนรอบข้างไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนตัวคนรอบข้างเราได้ครับ เราไม่จำเป็นต้องทนอยู่กับคนที่ทำให้ชีวิตเราแย่ลง หรือคนที่เราไม่ได้อยากอยู่ด้วย เลือกสังคมให้ชีวิตตัวเองดีๆ



ผมเห็นผู้คนที่ไม่อยากให้ถึงวันจันทร์ คนที่ยอมอดทนทั้งที่มีสิทธิ์เลือก คุณไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำงานครับ ชีวิตคุณไม่ได้ยาวนานพอที่จะอยู่อย่างฝืนทน เลือกที่จะปฏิเสธสิ่งที่คุณไม่ต้องการ อย่าไปใช้เวลาของคุณเพื่อความฝันของคนอื่นครับ จำไว้ว่าถ้ามีเรื่องไหนที่คุณไม่โอเคกับมัน คุณมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ทั้งเรื่องงาน ความรัก หรืออะไรก็ตาม คุณต้องกล้าที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตคุณเอง คุณจะไปทนทำไม คุณอาจบอกว่า "ทนไปแล้วค่อยเปลี่ยน" แต่คุณไม่รู้ว่าหรอกว่าคุณเหลือเวลาบนโลกนี้อีกเท่าไหร่ ดังนั้น อย่าเอาเวลาชีวิตที่แสนจำกัดนี้ไปใช้กับสิ่งที่คุณไม่ชอบเลยครับ แค่ทำสิ่งที่ชอบ เวลาก็ไม่พออยู่แล้ว



ให้เวลากับคนรักของคุณ กับเพื่อน กับครอบครัว กับคนที่รักคุณ กับคนที่มีความสำคัญกับชีวิตคุณ มากกว่าภาระ การงาน ตำแหน่ง และเงินทองเถอะครับ



ผมหวังว่าคุณจะหันมาขอบคุณความปกติในชีวิตคุณให้มากขึ้น



ทุกคืนที่คุณล้มตัวลงนอนแล้วนอนหลับได้ การที่คุณไม่ต้องฝันถึงท่อช่วยหายใจ ทุกวันที่คุณตื่นขึ้นมาแล้วไม่ได้หายใจแล้วเจ็บ ไม่ได้มีอาการหอบเหนื่อย ถ้าคุณไม่ได้มีอาการปวดกระดูกทุกครั้งที่คุณขยับตัว หรือคุณไม่ต้องมากลัวว่าวันไหนที่ตื่นมาแล้วคุณจะมองไม่เห็น เดินไม่ได้ พูดไม่ชัด ขยับแขนขาไม่ได้ ในขณะที่ผมเขียนข้อความนี้อยู่ ผมปวดกระดูกและเจ็บเส้นประสาทมาก ผมมีอาการเหมือนโดนน้ำร้อนลวกที่หลัง และโดนมีดแทงที่ลำตัวข้างขวาตลอดเวลา ผมต้องกินยาแก้ปวดมหาศาลเพื่อให้ผมยังเขียนข้อความนี้ได้



ขอบคุณชีวิตที่แสนปกติของคุณเถอะครับ แล้วใช้มันให้เต็มที่กับทุกวันที่โลกนี้มอบให้กับคุณ ชีวิตที่ปกติและธรรมดาในแต่ละวันของคุณมันคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว คุณไม่มีทางรู้เลยว่าพรุ่งนี้คุณจะตื่นมาแล้วมีทุกอย่างแบบที่คุณมีวันนี้อยู่ไหม



วันก่อนที่ผมจะได้รับการวินิจฉัย ผมก็คิดเหมือนทุกคนแหละครับ ว่าคงไม่ใช่ผมหรอกที่ต้องมาเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ดังนั้น อย่าทำอะไรให้ต้องมาเสียใจทีหลังเลยครับ



ใช้ช่วงเวลาที่คุณมีให้มีความสุขไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เพราะมันพิเศษ เราโชคดีมากที่ยังได้มีโอกาสมาเจอช่วงเวลานี้ และมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ อย่าเอาแต่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายเพื่อเอาไปอวดคนอื่นว่าตัวเองกำลังมีความสุข อย่าเอาความสุขไปแขวนกับความคิดคนอื่นที่ไม่ได้มีความหมายอะไรกับคุณ กลับมาดื่มด่ำกับภาพตรงหน้า กับผู้คนตรงหน้าคุณ กับมื้ออาหารที่คุณได้กิน แล้วรับความสุข ณ ขณะนั้นไปเลย



คุณเลือกได้ครับ ที่จะมองเรื่องราวทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตเป็นของขวัญ



ตอนไปญี่ปุ่น ผมได้มีโอกาสไปที่ ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ (Universal Studio) ได้ไปในโซนของ แฮร์รี พ็อตเตอร์ พร้อมกันกับพีม พีมได้ซื้อของฝากที่เป็นเครื่องรางย้อนเวลาในหนังกลับมา พีมพูดกับผมว่า มันคงจะดี ถ้าเราย้อนเวลาได้ ผมจับมือและสบตากับพีมอย่างจริงจัง พร้อมกับบอกว่า "เค้าไม่อยากย้อนเวลาหรอก"



"ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว ทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเค้าทั้งดีและร้าย รวมถึงการที่เราทั้งคู่ต้องมาเผชิญกับโรคมะเร็งนี้ มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมทั้งหมด ถ้าย้อนเวลาไปแล้วแก้ไขบางสิ่ง บางอย่างที่เคยเกิดขึ้นอาจจะไม่เกิดก็ได้ ถ้าย้อนเวลาไปแล้วหาทางทำให้ตัวเองไม่เป็นมะเร็ง ความรู้สึกขอบคุณชีวิตในวันนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ ผมก็ยังอาจจะวิ่งไล่ตามทุนนิยมเอาแต่อยู่กับอนาคตจนลืมใช้ชีวิตในปัจจุบันแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ได้"



มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับสวนสนุกอยู่ครับ มีคนไปถามเจ้าหน้าที่สวนสนุก ว่าวันนี้สวนสนุกปิดกี่โมง เจ้าหน้าที่ตอบว่า "สวนสนุก เปิดถึงสองทุ่ม"



ตรงนี้น่าสนใจมากครับ เพราะตอนแรกที่ผมทราบตัวเลขจากงานวิจัยว่าผมจะมีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้นานเท่าไหร่ ถ้าผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า "อีกนานเท่าไร ผมจะตายนะ" ผมก็คงจะซึมเศร้าและเอาแต่นั่งนับถอยหลังชีวิตตัวเอง เอาแต่นั่งคิดว่าเวลาผมลดลงทุกวัน



แต่จากข้อคิดในเรื่องการปิดของสวนสนุก ที่ไม่ได้มองว่าสวนสนุกจะปิดเมื่อไหร่ แต่กลับมองว่ายังเปิดถึงเมื่อไหร่ เป็นการมองจากจุดที่ยืนอยู่ในปัจจุบัน ไปยังอนาคตข้างหน้า ว่ายังเหลือเวลาแห่งความสุขได้อีกตั้งเท่าไหร่



ดังนั้น ผมจึงมีชีวิตแต่ละวันนับไปข้างหน้า วันนี้ได้เพิ่มมาอีกวัน วันนี้ได้เพิ่มมาอีกวัน แบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมไม่รู้และไม่มีใครรู้ ว่าสวนสนุกของผมจะปิดเมื่อไหร่



แต่ถ้าวันนี้ไฟยังสว่างและม้าหมุนยังคงทำงาน ผมจะมีความสุขไปกับช่วงเวลาที่ผมมีอยู่ครับ ทุกท่านก็เช่นกัน



ขณะที่ร่างของหมอกฤตไท ญาติเตรียมนำออกจากโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ไปประกอบพิธีทางศาสนา โดยทางญาติขอให้เกียรติผู้เสียชีวิต และขอความเป็นส่วนตัวในการรับศพ



ผู้สื่อข่าวได้รับข้อมูลจากคนใกล้ชิดกับหมอกฤตไท เปิดเผยว่า ตอนนี้ร่างของหมอกฤตไท ยังอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเรื่องของการทำเอกสารแจ้งการเสียชีวิต เพื่อที่ญาติจะได้นำร่างของหมอกฤตไทไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป ซึ่งทางญาติยังอยู่ในอาการโศกเศร้า และเสียใจกับการจากไปก่อนวัยอันควรของหมอกฤตไท



โดยทางญาติขอความเป็นส่วนตัว ในการดำเนินการรับร่างหมอกฤตไทออกจากโรงพยาบาล ทั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยว่าจะนำร่างไปประกอบพิธีทางศาสนาที่ไหน



ซึ่งตลอดช่วงที่หมอกฤตไท เริ่มป่วยจนกระทั่งตั้งเพจ สู้ดิวะ จนถึงการเขียนหนังสือเพื่อบอกเล่าเรื่องราว ต่างๆ จนมาถึงวันที่เสียชีวิตนั้นก็ได้ขอความเป็นส่วนตัว และเปิดเผยเรื่องราวต่างๆ ผ่านทางหน้าเพจเท่านั้น แม้กระทั่ง งานแต่งงาน จนมาถึงโพสต์สุดท้ายที่กล่าวอำลา



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/_7_CvXYoPxg




คุณอาจสนใจ

Related News