สังคม

รพ.ยอมรับผิด ผ่าตัดช้าทำเด็ก 12 ปี ไส้ติ่งแตกตาย ยันไม่มีเคสวีไอพี พร้อมให้หมอไปขอขมา

โดย pattraporn_a

6 มิ.ย. 2565

340 views

โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ยอมรับผิดผ่าตัดล่าช้า ทำให้เด็กชาย 12 ปี ไส้ติ่งแตกเสียชีวิต เบื้องต้นเตรียมเยียวยาตามมาตรการ พร้อมให้หมอไปขอขมาญาติ ยืนยันไม่มีเคสพิเศษตัดหน้าน้อง มีเพียงการรอผ่าตัดด่วน


กรณีพ่อแม่เด็กชาย 12 ปี ร้องเรียน รพ.ศูนย์บุรีรัมย์ ผ่าตัดล่าช้าทำให้ลูกชายที่ไส้ติ่งอักเสบ จนไส้ติ่งแตกเสียชีวิต โดยน้องต้นน้ำปวดท้องตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 29 พฤษภาคม พ่อแม่จึงพาไปโรงพยาบาลพุทไธสง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอ เมื่อหมอตรวจดูอาการพบว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ จึงถูกส่งตัวไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์


กระทั่งเที่ยงคืน เจ้าหน้าที่เวรเปลได้เข็นน้องข้าไปในห้องผ่าตัด ผ่านไปประมาณ 5 นาที ก็เข็นน้องออกมา พร้อมแจ้งว่า หมอมีคนไข้พิเศษ 2 คน โดยจะผ่าตัดคนไข้พิเศษก่อน จากนั้นน้องก็ยังไม่ได้ผ่าตัด กระทั่งบ่าย 3 ของวันที่ 30 พฤษภาคม น้องถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้ง แต่ตอนนั้นอาการหนักแล้ว และได้ออกจากห้องผ่าตัดตอน 4 โมงเย็น ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องไอซียูทันที


สุดท้ายน้องต้นน้ำเสียชีวิตตอนตี 1 ของวันที่ 31 พฤษภาคม หมอระบุว่าไส้ติ่งแตกและติดเชื้อ ทำให้พ่อแม่คาใจ เพราะลูกชายถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ ถึง 2 วัน แต่หมอกลับไม่เร่งผ่าตัดให้ ทำให้ลูกชายเสียชีวิต ซึ่งศพของลูกชายฌาปนกิจไปแล้วตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากทางโรงพยาบาล


ซึ่งแม่น้องต้นน้ำ บอกว่า ยังติดใจที่หมอไม่ผ่าตัดให้ลูกชาย ปล่อยให้นอนรอถึง 2 วัน โดยไม่อธิบายอะไร ไม่ติดต่อมาหาผู้ปกครองเลย ทางเราต้องติดต่อไปถามเอง อยากได้คำตอบที่ทำให้เข้าใจมากกว่านี้ การสูญเสียลูกไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเรามีเขาแค่คนเดียว


ล่าสุด นายแพทย์รักเกียรติ ประสงค์ดี รอง ผอ.ฝ่ายการแพทย์โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ แถลงข่าวชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ระบุว่า จากการตรวจสอบข้อมูล น้องต้นน้ำมีอาการปวดท้องน้อยด้านขวามาประมาณ 1 วัน เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพุทไธสง หมอระบุเป็นไส้ติ่งอักเสบ แล้วส่งต่อมารักษาที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ แพทย์ตรวจประเมินซ้ำ วินิจฉัยว่าไส้ติ่งอักเสบ เช่นเดียวกัน


จึงได้เซ็ตเวลาผ่าตัดไว้ที่ 17.00 น.วันที่ 29 พฤษภาคม ต่อมาพบว่าอาการของน้องเปลี่ยนแปลง มีหัวใจเต้นแรงมากขึ้น หมอได้เพิ่มน้ำเกลือ ประกอบผู้ป่วยมีความสูง 163 เซนติเมตร น้ำหนัก 83 กิโลกรัม อยู่ในสภาวะน้ำหนักมาก


ผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัด 23.30 น. แต่ในขณะนั้นห้องผ่าตัดซึ่งมี 3 ห้อง มีคนไข้รอผ่าตัดทั้งหมด ห้องแรกผู้ปาวยผ่าตัดไส้เลื่อน และมีลำไส้เน่า แพทย์ต้องตัดต่อลำไส้ จากนั้นต้องผ่าตัดคนไข้ที่มารอก่อนหน้านี้ เป็นผู้ป่วยช่องท้องอักเสบอย่างรุนแรง โดยผ่าตัดเสร็จประมาณ ตี 2 ของวันที่ 30 พฤษภาคม


ห้องที่สอง เป็นคนไข้อุบัติเหตุ 2 คน กระดูกโผล่ มีแผลเปิด หมอต้องเร่งผ่าตัด และห้องต้องผ่าตัดหญิงท้อง ช่วงใกล้จะถึงเที่ยงคืน เนื่องจากเด็กในครรภ์มีสภาวะหัวใจเต้นเร็ว ซึ่งเป็นเคสเร่งด่วนเช่นกัน


ส่วนเรื่องที่เจ้าหน้าที่เข็นน้องต้นน้ำเข้าห้องผ่าตัด เชื่อว่าเกิดจากการประสานงานของหมออาจไม่ตรงกัน ทำให้พนักงานเปลเข้าใจผิด อีกทั้งยังไม่อาจทราบได้ว่า การผ่าตัดเคสก่อนหน้านี้จะเสร็จสิ้นตอนไหน หรือจะใช้เวลานานแค่ไหน ถ้าจะให้เด็กรออยู่ในห้องผ่าตัดอาจจะไม่ปลอดภัย จึงแจ้งไปยังหอผู้ป่วยขอส่งตัวคนไข้คือน้องต้นน้ำกลับไปที่ห้องก่อน


ประเด็นที่ผู้ปกครองน้องติดใจว่า "มีเคสพิเศษ" แทรกคิวของน้องหรือไม่ ได้สอบสวนแล้วไม่มีเคสพิเศษใด ๆ ในโรงพยาบาล ทุกเคสสามารถที่จะมีหลักฐานประกอบว่าเป็นเคสที่มีความเร่งด่วน และมารับบริการก่อนหน้านี้


ต่อมาแพทย์พบว่าน้องมีอาการหายใจเร็วขึ้น และตรวจพบว่ามีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด จึงพาเข้าห้องผ่าตัดในเวลา 13.45 น. ของวันที่ 30 พฤษภาคม ผลจากการผ่าตัด พบว่าพบไส้ติ่งแตก มีหนองอยู่โดยรอบ ประมาณ 100 ซีซี การผ่าตัดเสร็จเวลาประมาณ 14.30 น.ใช้เวลาในการผ่าตัด 45 นาที เนื่องจากสภาพก่อนผ่าตัดมีภาวะแย่ลง และมีการติดเชื้อในกระแสเลือด หลังผ่าตัดจึงต้องส่งเข้ารักษาที่ห้องไอซียูเด็ก และหัวใจน้องหยุดเต้นเมื่อเวลา 02.25 น.ของวันที่ 31 พฤษภาคม


ทั้งนี้ โรงพยาบาลต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของน้องก่อนเป็นอันดับแรก และโรงพยาบาลยอมรับว่า เราให้การรักษาล่าช้า ทั้งในส่วนของคณะทีมรักษา คณะการเยียวยา และการให้ข้อมูล การเยี่ยมบ้านคนไข้ ถือว่าล่าช้าไปมาก หลังจากนี้จะต้องไปขอขมาผู้ปกครองเด็กในเร็ว ๆ นี้ ส่วนการเยียวยาจะต้องเข้าไปสอบสวนในเชิงลึก ว่าจะสามารถช่วยเหลือครอบครัวเด็กตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหาย จากการรับบริการทางสาธารณสุข ได้มากน้อยแค่ไหน



ชมผ่านยูทูบ : https://youtu.be/d-yGBhpfF94 

คุณอาจสนใจ

Related News