ไม่ติดหรือหายแล้ว? หนุ่มอิสราเอล หนีกักตัว ล่าสุดผลตรวจไม่พบเชื้อโควิด

จากกรณี นายโอฮัท นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล ที่ตรวจพบติดเชื้อโควิด-19 หลังเดินทางเข้าประเทศไทยด้วยระบบ Test and Go แต่เจ้าตัวได้หลบหนีออกไปจากโรงแรมย่านสุขุมวิท ระหว่างการกักตัวรอผลตรวจโควิด-19 ซึ่งต่อมาสามารถควบคุมได้แล้วที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

โดยมีรายงานว่า ชายรายนี้เตรียมจะเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยพร้อมกับครอบครัว แต่เจ้าตัวเดินทางล่วงหน้ามาถึงก่อน 1 วัน และคาดว่าน่าจะได้ทราบผลตรวจจากโรงพยาบาลว่าติดเชื้อโควิด-19 จึงหลบหนีไป ส่วนผลตรวจหาเชื้อของครอบครัวที่เดินทางมาทีหลัง ไม่พบเชื้อทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม รายละเอียดทั้งหมดจะต้องรอการสอบสวนผู้ต้องหาจึงจะสามารถสรุปได้ ซึ่งตำรวจจะเรียกทางโรงแรมมาสอบสวนด้วย และหากพบว่าโรงแรมมีมาตรการที่หละหลวม ก็ต้องประสานกรมควบคุมโรคให้เป็นผู้แจ้งความดำเนินคดีกับทางโรงแรมต่อไป

ขณะเดียวกันที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่ได้มารับตัวนายโอฮัท ขณะนั่งอยู่ในร้านอาหาร ก่อนนำตัวไปทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง

ล่าสุดผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ไม่พบเชื้อแต่อย่างใด (ผลเป็นลบ) แต่ทั้งนี้ หนุ่มอิสราเอลรายนี้ก็ยังต้องกักตัวในโรงพยาบาลเกาะสมุย ไปอีก 2-3 วัน โดยมี ทางตำรวจสภ.เกาะสมุย และ ทาง อส.อำเภอเกาะสมุย ดูแลรักษาความปลอดภัย ป้องกันนาย โอฮัท หนุ่มอิสราเอลหลบหนี    

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้สั่งการไปยังผอ.รพ.เกาะสมุย เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับชายดังกล่าวอย่างเด็ดขาด เบื้องต้นมีความผิดแน่ คือ 1.พ.ร.บ.โรคติดต่อ และ 2.ไม่ปฏิบัติตามมาตรการของประเทศไทย

กรณีดังกล่าวถือเป็นภัยร้ายแรงต่อสุขภาพของคนในประเทศ และสั่งให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ลงไปตรวจสอบโรงแรมและรพ.ที่เกี่ยวข้องว่าละเลยในเรื่องใด หรือออกผลตรวจ RT-PCR ล่าช้าอย่างไร หรือมีความผิดจากกรณีนี้อย่างไร เพื่อออกมาตรการควบคุมให้เข้มงวดรัดกุมยิ่งขึ้น

“ขณะนี้ตำรวจจับตัวได้แล้ว เรายังคงไว้ซึ่งหลักมนุษยธรรม ต้องรักษาให้หายจากโรค แต่จะต้องอยู่ในฐานะผู้ต้องหา เมื่อรักษาเสร็จแล้วให้ดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด เพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง ไม่ให้มีคนทำเช่นนี้อีก” นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามว่า จะดำเนินคดีอย่างสูงสุดอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ตำรวจมีหมายจับอยู่แล้ว เป็นความผิดตั้งแต่เขาหลบหนีออกไป หากดำเนินคดีอย่างสูงสุดได้ตามกฎหมาย อาจจะถึงขั้นขึ้นชื่อในแบล็กลิสต์หรือเนรเทศออกจากประเทศ เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาอย่าง

ทั้งนี้ ขอให้ความมั่นใจกระทรวงสาธารณสุข ได้มีมาตรการควบคุม คัดกรองนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามา ซึ่งในส่วนของนักท่องเที่ยวที่ลงทะเบียนผ่าน Thailand pass กว่า 9 หมื่นคนก่อนการปิดระบบรับชั่วคราว หากเราไปปรับเปลี่ยนก็จะลำบาก แต่ก็ได้เพิ่มมาตรการที่เข้มข้นกว่าเดิมรวมถึงมีระบบการติดตามตัวด้วย

รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/X3kpJj0lzFk