สังคม
เทรนเนอร์หนุ่มดาวติ๊กต็อก ร้อง ถูกสาวหลอกจดทะเบียน สูญเงินนับล้าน พบสาวมีคดีฉ้อโกงติดตัว
โดย JitrarutP
31 ต.ค. 2565
5.9K views
เทรนเนอร์หนุ่มดาวติ๊กต็อก ร้อง ถูกสาวหลอกจดทะเบียน สูญเงินนับล้าน พบเปลี่ยนชื่อมากกว่า 10 ชื่อ มีคดีฉ้อโกงติดตัว
เทรนเนอร์ฟิตเนสชื่อดังดาวติ๊กต็อก ร้อง ถูกสาวสวยซื้อคอร์สเพื่อเข้ามาตีสนิท จนตัดสินใจคบหาและจดทะเบียนสมรส เพราะฝ่ายหญิงบอกว่าท้อง แต่มารู้ภายหลังว่าเป็นผลอัลตร้าซาวด์ของอดีตสามีที่มีลูกด้วยกัน สุดท้ายกว่าจะตาสว่างสูญเงินกว่า 1 ล้านบาทและไปเจออีกว่า ฝ่ายหญิง เปลี่ยนชื่อมากกว่า 10 ชื่อและมีคดีฉ้อโกงติดตัว
นายนริทร์สิษฐิ์ แต่งอัยการ หรือ มาร์ช อายุ 32 ปี เทรนเนอร์หนุ่มโชว์หลักฐานใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตและผลอัลตราซาวด์การตั้งครรภ์พร้อมกับแชทการพูดคุย ที่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งมาตีสนิททำให้เชื่อใจคบหากัน ถึงขั้นจดทะเบียนสมรส ก่อนจะมีพฤติกรรมเป็นมิจฉาชีพหลอกลวงทำให้ต้องสูญเงินไปกว่าล้านบาท
จึงได้นำข้อมูลมาโพสต์ร้องเรียนขอความช่วยเหลือกับ เพจสายไหมต้องรอด เพื่อติดตัว ผู้หญิงคนดังกล่าวเพราะยังมีผู้เสียหายอีกจำนวนหลายคนที่ตกเป็นเหยื่อและตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน
นายมาร์ช ผู้เสียหาย เล่าว่า เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตัวเองได้รู้จักกับผู้หญิงที่ ชื่อไบรท์ อายุ 26 ปี ผู้ก่อเหตุ ทาง tiktok ซึ่ง นายมาร์ช ถือว่าเป็นคนดังในติ๊กต็อก ด้านการเทรนเนอร์ออกกำลังกาย, ซึ่งผู้หญิงคนดังกล่าวได้สมัครมาเป็นสมาชิกในราคา 60,000 บาท โดยจ่ายก่อนมาครึ่งหนึ่งจำนวน 30,000 บาท ซึ่งฝ่ายหญิงเป็นคนที่มีบุคลิก พูดจาดีมีหลักการน่าเชื่อถือ ขับรถเบนซ์ ใช้ของแบรนด์เนมทั้งตัว
หลังจากนั้นความสนิทสนมก็เพิ่มมากขึ้นจนตัดสินใจคบหากัน ช่วงเดือนที่ 2 - 3 นางสาวไบร์ท มาบอกกับตนเองว่า ท้องพร้อมกับนำผลอัลตราซาวด์มาให้ตนเองดูพร้อมชวนจดทะเบียนสมรส ตนเองจึงตกลงและพาไปหาพ่อแม่ของตนเองเพื่อรับรู้และเตรียมที่จะจัดงานแต่งงาน
ต่อมานางสาวไบร์ท ชวนให้ตนเองไปเปิดคอนโดหรูเพื่อเช่าอยู่ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่ก็ไม่เคยช่วยเหลือค่าเช่า, นางสาวไบร์ท ยังขอบัตรเครดิตตนเองไปใช้ อ้างว่าบัตรเครดิตของนางสาวไบร์ทมีวงเงินเป็น 1,000,000 บาทไม่อยากใช้เพราะเกรงว่า จะไม่สามารถควบคุมได้ จึงมาใช้บัตรเครดิตของตนเองที่มีวงเงินอยู่ในระดับ 100,000 บาท
โดยนางสาวไบรท์ระบุว่าจะเป็นคนจ่ายบัตรเครดิตเอง แต่เมื่อถึงเวลานางสาวไบร์ทก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่าเงินไม่สามารถโอนได้ ติดปัญหาต่าง ๆ จนมียอดหนี้กว่าหนึ่งล้านบาท ตนจึงต้องยอมใช้หนี้ไปก่อน จำนวน 500,000 บาท
เนื่องจากทางธนาคารมีการทวงถาม และยังค้างอยู่กับธนาคารอีกกว่า 500,000 บาท และยังพบว่าทรัพย์สินภายในห้องเริ่มทยอยหายรวมทั้งสิ้นจำนวนกว่า 200,000 บาท เมื่อถามนางสาวไบร์ทก็ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง โดยต่อมานางสาวไบร์ทก็มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปติดต่อได้บ้างไม่ได้บ้าง จนกระทั่งหายเงียบไปตั้งแต่เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ตนเองจึงรู้ว่าถูกหญิงคนดังกล่าวหลอกแล้ว และยังได้ข้อมูลจากอดีตสามีของนางสาวไบร์ท ว่า เคยจดทะเบียนสมรสและมีสามีมาแล้ว 3 คน คนที่หนึ่งมีอาชีพเป็นนักธุรกิจ มีลูกด้วยกัน 2 คน คนที่สองมีอาชีพเป็นข้าราชการมีลูกด้วยกัน 1 คน ส่วนคนที่สามมีอาชีพเป็นหมอ มีลูกด้วยกัน 1 คน
ซึ่งทุกคนได้จดทะเบียนหย่าไปแล้วและก็ถูกนางสาวไบร์ท กระทำในพฤติกรรมเดียวกัน พร้อมกันนี้ยังทราบอีกว่านางสาวไบร์ท ได้นำผลอัลตราซาวด์ของลูกสามีคนที่สามใช้มาหลอกตนเองว่ากำลังตั้งท้อง
ต่อมา นายมาร์ช ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สน. บางขุนนนท์ ในข้อหาลักทรัพย์ ซึ่งก็พบว่า ยังมีผู้เสียหายอีกจำนวนมาก ที่ถูกผู้หญิงคนดังกล่าวหลอกทั้งเรื่องขายของออนไลน์ จ่ายเงินแล้วไม่ได้ของ และที่ถูกหลอกพฤติกรรมเช่นเดียวกับนายมาร์ช ซึ่งนางสาวไบร์ทมีการเปลี่ยนชื่อมาแล้วกว่า 10 ชื่อและใช้ Facebook กว่า 10 เฟช
โดยคดีของนายมาร์ช ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์เข้ามาเป็นทนายความให้ เบื้องต้นทนายบอกว่า เป็นช่องว่างทางกฎหมายที่ทำให้มิจฉาชีพใช้หลอกเหยื่อเพราะกรณีที่จดทะเบียนสมรสกัน ผัวเมียฟ้องลักทรัพย์ จะได้รับการยกเว้นโทษ
ซึ่งทนายจะต้องสอบรายละเอียดข้อเท็จจริง หากเข้าความผิดฐานฉ้อโกง ก็สามารถดำเนินคดีฟ้องร้องทางแพ่งเรียกค่าเสียหายกลับคืนมาได้ ส่วนสามีคนก่อนหน้านี้ หรือสามีคนอื่น ๆ ถ้าหากมีส่วนรู้เห็น ก็อาจมีความผิดด้วย แต่ถ้าหากไม่รู้เห็นกับพฤติกรรมของหญิงสาวคนดังกล่าวก็ถือว่า ตกเป็นผู้เสียหายร่วมด้วย ส่วนข้อหาอื่นต้องรอรวบรวมพยานหลักฐานจากผู้เสียหายรายอื่น