สังคม

สลดซ้ำซาก! เด็ก 7 ขวบ เสียชีวิตในรถตู้รร. แม่ติดใจ ครูอ้ำอึ้งไม่รีบแจ้ง ยันเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

โดย JitrarutP

31 ส.ค. 2565

764 views

เหตุซ้ำซาก เด็กหญิง 7 ขวบ ถูกลืมในรถตู้รับส่งนักเรียน ตั้งแต่เช้า จนตอนเย็นมาพบเสียชีวิตแล้ว แม่ใจสลาย ทำไมครูถึงไม่รีบแจ้ง ยืนยันเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ขณะที่โรงเรียนยังปิดปากเงียบไม่มีชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น


ทีมข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ได้พูดคุยกับ นางสาวเมทิกา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี นายไทยอนันต์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี พ่อและแม่ของ เด็กหญิงเอ วัย 7 ขวบ และ นางสาวนาถชิดา อายุ 34 ปี คุณป้าของ เด็กหญิงเอ โดยทันทีที่ทีมข่าวเราเจอคุณแม่ ที่ชั้น 10 ขณะรอตรวจ เอทีเค พบสภาพร่างกายอิดโรย ทั้งยังสังเกตเห็นแม่ กอดกระเป๋านักเรียนของเด็กหญิงเอไว้ตลอดเวลา ขณะที่พ่อของน้องเวลาพูดถึงน้อง ก็น้ำตาคลอตลอดเวลาเช่นกัน เห็นภาพแล้วรู้สึกบีบหัวใจ


โดยจากการพูดคุยกับนางสาวเมทิกา แม่ของเด็ก 7 ขวบ ได้เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทีมข่าวของเราฟังว่า เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 30 สิงหาคม เวลา 17.00น. ที่ผ่านมา ครูประจำชั้น ครูพี่เลี้ยง และคนขับรถได้มาหาที่บ้าน เธอเองรู้สึกแปลกใจ จึงถามว่าน้อง เอ ลูกสาวของเธอกลับมาด้วยหรือไม่


แต่ท่าทีของคุณครูกลับ อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้น คำถามแรกที่คุณครูถามเธอว่าน้องมีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ ตอนนั้นเธอเองรู้สึกแปลกใจและเป็นห่วงลูกสาวว่าเป็นอะไร เธอจึงบอกไปว่าน้องไม่มี โรคประจำตัว คุณครูตอบกลับว่ามันมีเหตุที่ไม่อยากให้เกิด


เธอก็รีบถามว่ามีเหตุอะไร เธอกลัวเกิดเรื่องไม่ดีกับลูก กลัวว่าลูกจะโดนทำไม่ดีหรือถูกข่มขืน หรือไม่ ทำให้เธอคิดไปต่างๆนานา แต่ต้องตกใจกับคำตอบว่าน้องไม่หายใจแล้ว ตอนนั้นเธอเองช็อกเป็นอย่างมาก ทำอะไรไม่ถูก แต่ครูก็ยังไม่ยอมบอก เธอจึงเค้นถามอยู่นาน จนรู้ความจริงว่าลูกสาวของเธอติดอยู่ภายในรถตู้นักเรียน


เธอจึงถามไปว่าทำไมมองไม่เห็นเด็กเลย ตอนนั้นเธอเองยอมรับว่าควบคุมสติไม่ได้ ได้แต่ร้องไห้เสียใจและรีบไปดูศพลูกสาวภายในรถตู้


เรื่องที่เกิดขึ้นเธอเองไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับครอบครัวเธอ สังคมไทยถอดบทเรียนเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายกลับมาเกิดกับครอบครัวเธอ ซึ่งรับไม่ได้


หลังจากนี้ เธอจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพื่อให้ลูกสาวของเธอได้รับความยุติธรรมและให้เรื่องดังกล่าวเป็นบทเรียนของสังคมต่อไป พร้อมขอฝากให้โรงเรียนมีมารตราการป้องกันและดูแลเด็กให้ดีกว่านี้


ด้านคุณอ้อม ป้าของ เด็กหญิงเอ บอกว่า หลังจากที่ครอบครัวตั้งสติได้แล้ว จึงมานั่งคุยกัน และมีสิ่งที่ติดอยู่ในใจ คือติดใจการเสียชีวิตของหลานสาว ทำไมคุณครูถึงเพิ่งมาบอกตอน 16.50 น. ทั้ง ๆ ที่รถนักเรียนต้องเตรียมรถรับเด็กส่งกลับบ้านก่อน หากไปรับเด็กที่ไม่เรียนพิเศษรอบแรก ก็ต้องเช็ครถตอน 15.00 น. ส่วนหลานสาวเธอเรียนพิเศษ ต้องเลิก 16.15 น.แต่ทำไมถึงเพิ่งมาบอก


กลัวว่าไม่ใช่เหตุการณ์เสียชีวิตแบบขาดอากาศหายใจ แต่กลัวเป็นการถูกทำร้าย และทำอะไรไม่ดี แล้วอำพรางศพหรือไม่ เนื่องจากน้องเป็นเด็กฉลาด ตัวก็ไม่ได้เล็ก หรือถ้าน้องติดอยู่ในรถควรที่จะมีปัสสาวะ แต่น้องกลับนอนนิ่งและตัวแข็ง


ส่วนประเด็นเรื่องของกู้ภัยที่มาช่วยแล้วบอกว่าอยากให้เรื่องเงียบไม่อยากให้เป็นข่าวดัง นั้น เธอรับไม่ได้ ซึ่งไม่อยากให้หลานตายฟรี ซึ่งหลังจากนี้เธอจะเดินหน้าต่อสู้เพื่อหลานสาว อย่างเต็มที่ เพราะน้องสาวมีลูกเพียงคนเดียว และที่ยอมจ่ายค่าเทอมแพงๆ จ่ายค่ารับส่งลูก เพื่ออยากให้ลูกมาเรียนสบายๆ และได้เรียนที่ดีๆ แต่กลับมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น


นอกจากนี้ ป้าของเด็กหญิงเอ ยังยืนยันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เพื่อหาหาความยุติธรรมให้หลานสาว


ส่วนความเคลื่อนไหวที่โรงเรียนที่เกิดเหตุวันนี้ พบว่าบรรยากาศเงียบเหงา มีผู้ปกครองบางส่วนมาส่งลูกหลานด้วยตนเองมากขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวยังไม่มีครู หรือทาง ผอ.โรงเรียน ออกมาเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด สอบถามคุณครูในโรงเรียนบอกว่า ต้องรอให้ผู้บริหาร เป็นผู้ชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นเท่านั้น


ส่วนทางด้านคดี พันตำรวจเอก เอนก บุตรอินทร์ ผู้กำกับการ สภ.พานทอง เปิดเผยว่า เบื้องต้น พ่อและแม่เด็กได้มาแจ้งความถึงการเสียชีวิตของลูกสาวเอาไว้แล้ว แต่ตำรวจยังไม่ได้แจ้งข้อหากับ ครู หรือทางโรงเรียน แต่อย่างใด เพราะต้องรอสอบสวนครูประจำชั้น คนขับรถตู้รับส่งเด็กนักเรียน พี่เลี้ยงที่อยู่ประจำในรถ และเพื่อนเด็กที่นั่งรถมาในวันเกิดเหตุ


รวมถึงตรวจสอบกล้องวงจรปิดของทางโรงเรียน ว่าเหตุการณ์นี้มีใครประมาท หรือเจตนาหรือไม่ ทั้งนี้ต้องรอผลการผ่าพิสูจน์ศพของโรงพยาบาลตำรวจก่อน คาดว่าน่าจะรู้สาเหตุของการเสียชีวิตภายใน 1 สัปดาห์


ล่าสุด เมื่อสักครู่ ที่ผ่านมา ตำรวจเรียก ครูประจำชั้น ครูพี่เลี้ยง ครูคนขับรถตู้โรงเรียน และเพื่อนนักเรียนที่นั่งรถตู้อยู่ในคันเดียวกับกับน้อง เข้าให้ปากคำกับตำรวจ สภ.พานทอง


โดยเพื่อนนักเรียนที่นั่งอยู่ในรถตู้ ให้ข้อมูลว่า น้องจีฮุน เวลานั่งรถตู้โรงเรียน ปกติน้องชอบนั่งเบาะกลาง และเบาะหลัง อย่างไรก็ตามตำรวจต้องสอบสวนอีกครั้งว่าขณะเกิดเหตุน้องเสียชีวิต บริเวณจุดไหน ของรถตู้


ทีมข่าวจำลองเหตุการณ์ ขณะรถนักเรียนมารับน้องจีฮุน พบว่าบ้านน้องอยู่ต้นทาง และน้องขึ้นรถเป็นคนแรกๆ โดยตอนแรกนั่งรถอยู่แถวที่ 1 หลังจากนั้นรถไปรับนักเรียนชั้นอนุบาล น้องจึงย้ายไปนั่งแถวที่ 3 ส่วนแถวที่ 4 (หลังสุด) ไม่มีนั่งเรียนนั่ง เพราะวันนั้นนักเรียนน้อย


คาดว่าน้องจะนั่งหลับ และครูไม่ได้เช็คชื่อ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น คาดว่าน้องคงตื่นขึ้นมาไม่เจอใคร และพยายามช่วยเหลือเอง และสุดท้ายต้องหมดสติ ลงกับพื้น ในรถตู้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากข้อมูลของตำรวจสอบสวนกลาง พบว่า จากการทดสอบกรณีเด็กติดในรถเมื่อจอดกลางแดด พบว่าเด็กส่วนใหญ่ที่ติดในรถ เสียชีวิตเพราะ "ความร้อน" ภายในรถ


โดยหากเด็กติดอยู่ในรถที่จอดกลางแดด 5 นาที อุณหภูมิจะสูงขึ้นจนไม่สามารถทนอยู่ได้ 10 นาที ร่างกายจะยิ่งแย่และ 30 นาที เด็กจะเกิดภาวะเลือดเป็นกรด ซ็อค หมดสติ สมองบวมตามมา จากนั้นอาจหยุดหายใจ อวัยวะทุกอย่างก็จะหยุดทำงาน และอาจเสียชีวิตได้


คุณอาจสนใจ

Related News