สังคม

หนังคนละม้วน! ญาติโต้โกงมรดก 200 ล้าน หนุ่มพ้นโทษอ้างถูกหลอกเซ็นพินัยกรรม เป็นเด็กขอมาเลี้ยง

โดย nicharee_m

22 ธ.ค. 2566

441 views

เคลียร์ไม่ลง! ญาติโต้หนังคนละม้วนโกงมรดก 200 ล้าน เผยเจ้าของมรดกไม่เคยตั้งท้องหนุ่มพ้นโทษอ้างถูกหลอกให้เซ็นพินัยกรรม ความจริงเป็นเด็กขอมาเลี้ยง ซ้ำข่มขู่ให้ขายที่ดิน

จากกรณีเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 66 ที่ผ่านมานายนนทรานุวัฒน์ พรหมจันทร์ ประธานคณะติดตามงานจังหวัดนนทบุรี พร้อมด้วยนายปรีชา เครือพลอย อายุ 42 ปี และ น.ส.ศิริลักษณ์ จันทร์อ้น อายุ 32 ปี สองสามีภรรยา หอบเอกสารหลักฐานต่างๆ เดินทางเข้าพบ นายวัชระ เลิศพงศ์วรพันธ์ ทนายความ เพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มเครือญาติจำนวน 6 คน หลังคาดว่ามีการปลอมลายเซ็นในพินัยกรรมของ นางชุ่ม เครือพลอย แม่ของนายปรีชา และนำที่ดินมรดกบางส่วนไปขายได้เงินมากว่า 50 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีที่ดินอีกเกือบ 100 ไร่ มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ถูกแอบอ้างโอนเป็นชื่อเครือญาติโดยการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกแทนลูกชาย โดยทางผู้เสียหายได้แจ้งความไว้ พนักงานสอบสวน สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี เพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มเครือญาติที่หลอกให้ตนเองเซ็นพินัยกรรมมรดกของแม่ในครั้งนี้แล้ว

ต่อมานางสาวบุญเสริม เม้าพุ่ม อายุ 64 ปี หลานสาวแท้ๆ ของคุณยายชุ่ม เครือพลาย อายุ 79 ปี  ได้นำเอกสารหลักฐานต่างๆ รวมทั้งโฉนดที่ดินจำนวนนับ 10 แปลง ซึ่งเป็นของคุณยายชุ่มมาแสดงให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมทั้งเปิดเผยเรื่องราวอย่างละเอียดว่า ข่าวที่ นายปรีชา เครือพลอย หรือตั้ม  ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อนั้น ไม่ใช่เรื่องจริงเลย

นายตั้ม เป็นเพียงเด็กทารกที่คุณยายชุ่มไปขอมาจากโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าตั้งแต่ยังแบเบาะ เลี้ยงดูอย่างดี แต่นายตั้ม กลับประพฤติตัวไม่ดี ไม่เล่าเรียนหนังสือ ทำตัวเป็นนักเลงเกเรคนในครอบครัวไปทั่วชอบทำร้ายตบตีคุณยายชุ่ม กับคุณตามวล เป็นประจำ นายตั้มชอบทำลายข้าวของในบ้านเวลาขอตังค์กับยายชุ่มไม่ได้

จนกระทั่งเมื่อหลายปีที่แล้วนายตั้มได้ก่อเหตุวิ่งราว โดยใช้ยานพาหนะ เมื่อพ้นโทษออกมาในปี 61 ก็ก่อเหตุใช้อาวุธมีดจี้ข่มขืนจนถูกศาลตัดสินจำคุก พอปี 65 พ้นโทษออกมาก็มาบังคับให้ทางญาติๆ คุณยายชุ่ม ขายโฉนดที่ดิน จำนวน 11 ไร่

ทุกคนไม่เห็นด้วย เพราะอยากเก็บไว้เนื่องจากว่าอนาคตราคาที่ดินจะแพงขึ้นมาก นายตั้มไม่ยอม ข่มขู่ทุกคนในบ้านว่าจะยิงทิ้งให้หมด แล้วจะเป็นผู้จัดการมรดกเอง ทางญาติเกรงกลัวจึงต้องตัดใจขายที่ดินดังกล่าวไป 11 ไร่ได้เงินมา 11 ล้าน และแบ่งกันไปคนละ 1 ล้าน 8 แสนบาท

หลังจากถลุงเงินจนหมดแล้ว นายตั้มได้มาบอกให้กับญาติพี่น้องคุณยายชุ่ม ขายที่ดินย่านถนนรัตนาธิเบศร์ โดยนายตั้มเองเป็นคนจัดการทุกอย่าง ท่ามกลางเสียงคัดค้านของญาติพี่น้องยายชุ่ม แต่นายตั้มก็โมโหไม่ยอมข่มขู่เหมือนเดิม

คนในครอบครัวเกรงกลัวจึงต้องยอม และนายตั้มเองแหละเป็นคนพาผู้ซื้อมาซื้อที่ดินแปลงนี้ โดยบอกกับทางญาติว่าขายได้ 36 ล้านบาท และนำมาแบ่งให้กับญาติทั้งหมด 4 คนที่มีชื่ออยู่ในโฉนดคนละ 9 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงนายตั้มเองขายไปถึงราคา 48 ล้านบาท

ส่วนที่นายตั้มบอกว่า พินัยกรรมที่คุณยายชุ่มทำให้เซ็นให้นั้นอาจไม่ใช่ของจริง ตนยืนยันได้เลยว่า พินัยกรรมทำขณะที่คุณยายชุ่มยังมีสติสัมปชัญญะดี มีนิติกร รวมทั้งคนในครอบครัวมาเป็นพยานรับรู้ สามารถให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ตลอดเวลา

โดยก่อนที่คุณยายชุ่มจะเสียชีวิต ยังได้บอกกับตนเองซึ่งเป็นหลานสาวคนโต และเป็นผู้จัดการมรดกว่าเสียใจเหนื่อยใจแล้วก็ผิดหวังมากที่นายตั้มทำตัวแบบนี้ ทั้งๆ ที่ขอมาเลี้ยงดูอย่างดีตั้งแต่ยังเป็นทารก คุณยายชุ่มยังสั่งเสียตนเองว่าหากขายทรัพย์สินสมบัติแล้วใครมีชื่ออยู่ในโฉนดที่คุณยายทำไว้ให้ก็จะให้แบ่งเท่าๆ กันหมด

ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนายตั้มถึงได้ออกมาให้ข่าวที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเลยในเรื่องนี้ ตนไม่ขอฟ้องร้องหรือเอาเรื่องเขาหรอกเพียงแต่อยากให้เขายุติเรื่องราวลง เพราะความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างที่นายตั้มออกไม่ให้ข่าวกับสื่อแต่อย่างใด

ต่อมาเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 22 ธันวาคม 2566 ที่สภ.รัตนาธิเบศร์ พ.ต.ต.ณัฐวุฒิ มิ่งเมือง สว.(สอบสวน) เจ้าของคดี ได้เลือกคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยเจรจาตกลงถึงกรณีข้อพิพาทที่เกิดขึ้น โดยฝ่ายนายตั้ม เดินทางมาพร้อมด้วยทนายความ ขณะที่นางสาวบุญเสริม เดินทางมาพร้อมกับญาติๆ อีก 5 คน ที่มีชื่อในโฉนดที่ดินของยายชุ่ม และถูกนายตั้มกล่าวหาว่าร่วมกันปลอมลายเซ็นพิกรรมยายชุ่ม โดยทั้งสองฝ่ายพูดคุยเจรจา โต้เถียงกันอย่างดุเดือดนานกว่า 1 ชั่วโมง ก็ยังหาข้อสยุติไม่ได้จึงต้องยกเลิกการเจรจาลงในวันนี้

น.ส.บุญเสริม กล่าวว่า สาเหตุที่เดินทางเข้ามาวันนี้ เพราะถูกตามให้เข้ามาประนีประนอมในเรื่องของทรัพย์สินที่เหลืออยู่ ซึ่งมีชื่อของคู่กรณีในโฉนด แต่การเจรจาผลออกมาว่าอีกฝ่ายควรได้รับเงินชดเชย ทั้งที่คู่กรณีหาคนมาซื้อทรัพย์สินในราคา 36 ล้านบาท และตัวของคู่กรณีไม่ทราบว่ามีการตกลงกันอย่างไรถึงได้ส่วนแบ่งไปแค่ 7 ล้านบาท ในขณะที่ตนได้เงิน 9 ล้านบาท จึงได้มาขอส่วนแบ่งที่เกินไปให้ได้ 9 ล้านเท่ากัน ในฐานะที่เขาเป็นฝ่ายหาคนมาซื้อและออกเช็คให้ คิดว่ามันยุติธรรมแล้วหรือไม่

อย่างไรคู่กรณีอ้างว่าหากพินัยกรรมฉบับนี้มีการปลอมแปลงเกิดขึ้นจะกลายเป็นคดีอาญาทันที ตนยืนยันว่าพินัยกรรมฉบับนี้เป็นของจริง เพราะไม่มีสิทธิ์ไปแก้ไขอะไร และขอต่อสู้จนกว่าจะถึงศาลชั้นฎีกา

การซื้อขายในครั้งนั้นตนไม่ได้คิดจะขายแต่ถูกบังคับ และขายไปในราคาที่ถูก ตอนแรกบอกไว้ว่าขายได้ 40 ล้านบาท แต่อ้างว่ามีค่าภาษีหลายอย่าง เหลือเพียง 36 ล้านบาท ตนไม่ได้คิดว่าจะมีปัญหาตามมา เพียงเห็นว่าอีกฝ่ายต้องการใช้เงิน และถูกข่มขู่มาตลอดจึงตกลงขายไป แต่น้องอีกคนต้องการขายในราคาเต็ม ตนจึงหักเงินส่วนที่จะได้ 10 ล้านบาท อีก 500,000 บาท ให้น้องไป

อีกฝ่ายยืนยันว่าขอส่วนแบ่งแค่ 7 ล้านบาทก็เพียงพอ แต่วันนี้มาขอส่วนแบ่งเพิ่ม ตอนนี้ยังตกลงกันไม่ได้ และทนายอ้างว่าคดีนี้เป็นคดีอาญา ต้องติดคุก และพินัยกรรมจะเป็นโมฆะ จะทำให้ตนไม่ได้รับสมบัติ เพราะจะกลายเป็นของคู่กรณีแต่เพียงคนเดียว หากเป็นแบบนี้จริงอยากให้ทุกคนรู้ว่าตนทำเพื่อความถูกต้อง ไม่ได้ปลอมแปลงเอกสารแต่อย่างใด

หลังจากนี้ถ้าออกมาแก้ข่าวแล้วยังไม่เป็นผลดี ควรจะต้องมีทนายมาต่อสู้ได้แล้ว อยากให้มีทนายเข้ามาช่วยเหลือเพราะตนไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย ยืนยันว่าไม่ได้มีการแก้ไขและดูแลทรัพย์สินทั้งหมดมา 11 ปีเต็ม และคู่กรณีเป็นเพียงบุตรบุญธรรมที่ขอมาเลี้ยง ตั้งแต่แบเบาะเท่านั้น

ตอนนี้ตนอายุ 64 ปีแล้ว และคุณยายชุ่ม ก็เสียชีวิตตอนอายุ 79 ปีไม่ใช่ 88 ปีตามที่เขาให้ข่าว ตนเติบโตอยู่ใกล้ชิดมากับคุณยายชุ่มตลอด ไม่เคยเห็นคุณยายชุ่มตั้งท้องเลย อีกทั้งคุณยายยังป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูก จะมีลูกได้อย่างไร

ส่วนที่ฝ่ายคู่กรณีเอาสูติบัตรมาโชว์นั้น ในสูติบัตรก็ระบุอยู่แล้วว่า ยายชุ่มกับตาประมวลไปขอคู่กรณีมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเป็นทารก เพิ่งลืมตาดูโลก ตามวลยายชุ่มก็รักเขามาก ในพินัยกรรมอีก 6 แปลง ก็มีชื่อของเขาอยู่ ตนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องการสมบัติที่ไม่ใช่ของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างยายชุ่มจัดสรรแบ่งปันให้ทุกคน ป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนจะเสียชีวิต

นายอิทธิพล ละมูลภักดิ์ อายุ 55 ปี (ลูกพี่ลูกน้องกับ น.ส.บุญเสริม เผยว่าตนเป็นคนที่ร่วมเดินทางไปกับยายชุ่ม และตามวล โดยรับนายตั้มมาจากโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าตั้งแต่แบเบาะ ป้าอยากได้ลูก ได้มีการปรึกษาพี่น้องแล้วว่าอยากมีน้องหรือไม่ ซึ่งทุกคนไม่ได้ขัดข้องอะไร ตนเป็นคนไปกับคุณป้าด้วยตัวเอง เพราะปกติจะไปไหนมาไหนกับป้าตลอด

ตอนนั้นไปที่โรงเรียนเพื่อให้คนพาไปที่โรงพยาบาล เพื่อนำเด็กคนนี้มาเลี้ยง ตนก็เลี้ยงน้องเหมือนน้องแท้ๆ หนึ่งคน ทางโรงพยาบาลได้มีการออกใบสูติบัตรมาให้ ทุกคนช่วยกันเลี้ยงและดูแลเหมือนน้องในไส้ เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าโตขึ้นมาแล้วจะมาออกฤทธิ์ออกเดชได้ขนาดนี้ วันๆ มีแต่เรื่องทั้งนั้น

ช่วงนั้นยาบ้าเม็ดละ 200 บาท เขาติดยาค้ำคอป้าของตนเพื่อขอเงิน จนตนต้องออกมาตีด้วยตัวเอง  ทำลายข้าวของในบ้าน น้องเคยมีเมียมีลูก สุดท้ายก็พากันหนีไป หลังจากนั้นถึงได้หยุดคลั่ง

ตนสงสารป้าชุ่มมากนอนร้องไห้น้ำตาตกในทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ป้าไม่ร้องไห้ เลย ป้าหนักใจเพราะลูกคนนี้ ป้ารักเหมือนลูก ขายที่ได้ 30 กว่าล้านให้ลูกคนนี้ทั้งหมด แต่นำเงินไปทำอย่างอื่นจนป้าป่วย เงินก็หมด ได้พี่สาวคนโตที่ป้ารับเลี้ยงมาเล่นกัน ช่วยกันดูแล ค่าใช้จ่ายในบ้าน เงินที่น้องชายต้องใช้ในคุก

ส่วนตนนั้นตัดปัญหาจึงออกไปหาบ้านอยู่เองเพราะเคยโดนขโมยทองที่วางไว้ในห้องนอน เพิ่งมารู้ข่าวจากพี่สาวว่าป้าป่วยหนัก ถึงได้กลับมาเยี่ยมและดูแล พาไปส่งโรงพยาบาล ย้อนกลับไปตอนที่ได้รับใบสูติบัตรตอนนั้นตนยังเด็ก ไม่รู้เรื่องมารู้ทีหลังว่านี่คือใบเกิด

แต่ยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายเป็นบุตรบุญธรรม ไม่ใช่บุตรทางสายเลือด วันนี้เข้ามาเจรจาได้คุยกับทนายอย่างเดียว วันนี้ทางตนบกพร่องคือไม่ได้แต่งตั้งทนายเข้ามาร่วมพูดคุยด้วย ทางเขานำทนายมาอ้างแต่กฎหมายพูดจาต่างๆ ให้เรากลัว เราอยากขอความเป็นธรรมในเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะทุกอย่างเป็นข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ได้

คุณอาจสนใจ

Related News